ติดต่อลงโฆษณา racingweb@gmail.com

แสดงกระทู้

ส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถดูกระทู้ทั้งหมดสมาชิกนี้ โปรดทราบว่าคุณสามารถเห็นเฉพาะกระทู้ในพื้นที่ที่คุณเข้าถึงในขณะนี้


ข้อความ - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 6
1
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแต่ละประเภท เหมาะสมกับบุคคลและลักษณะฟันแบบใด

ต้องขอบอกเลยว่าในยุคสมัยนี้ การพัฒนาทางด้านทันตกรรมถือว่าเป็นไปอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดดอย่างมาก เนื่องจากว่าประชากรจำนวนมากบนโลก เริ่มให้ความสนใจและรักษาสุขภาพในช่องปากเพิ่มมากขึ้นอย่างสูงเช่นกัน เพราะหลายๆท่านเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของสุขภาพช่องปากมากขึ้นแล้วนั่นเอง สิ่งที่พัฒนาเร็วมากๆทางด้านทันตกรรม คือการรักษาที่หลายรูปแบบเพื่อความเหมาะสมของแต่ละบุคคลมากขึ้น เพื่อให้ผลรับออกมาดีที่สุด การจัดฟันก็ถือได้ว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่มีความนิยมอย่างมาก รูปแบบการจัดฟันจึงออกมามากมาย เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในสาเหตุของแต่ละคน

ในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับรูปแบบต่างๆ ของกระบวนการจัดฟัน ว่าเหมาะสมสำหรับใครบ้าง หรือเหมาะสมกับการรักษาฟันในลักษณะใด โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

การจัดฟัน คืออะไร ?

การจัดฟัน คือกระบวนการติดเครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางทันตกรรมที่ทำให้เกิดแรงกดที่บริเวณฟัน เพื่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายฟันทีละนิดไปในทิศทางที่ต้องการตามที่ทันตแพทย์ได้วางแผนไว้ ให้ฟันกลับมาเรียงตัวเป็นระเบียบสวยงาม นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในเรื่องการสบฟันที่ผิดปกติ การจัดฟันจึงถือว่ามีประโยชน์มากๆในด้านการรักษาการเรียงตัวของฟันที่ผิดปกติ


ประเภทของการจัดฟันมีอะไรบ้าง และเหมาะสมกับลักษณะอย่างไรบ้าง ?


– การจัดฟันแบบติดแน่น (Fixed Braces)

แบร็กเกต หรือที่เรียกว่า แผ่นทันตกรรมจัดฟันขนาดเล็ก จะใช้วิธีการติดกาวชนิดพิเศษไว้ที่บริเวณหน้าฟันแต่ละซี่ด้วยกาวชนิดพิเศษ โดยทั้งหมดจะถูกเชื่อมโยงกันด้วยลวดทันตกรรมและยึดด้วยยางอีกทีหนึ่ง ซึ่งการจัดฟันในรูปแบบนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีการใหม่ในการยึดลวดทันตกรรมให้อยู่กับที่ และมีคุณสมบัติในการช่วยจัดฟันให้เข้าที่อย่างราบลื่นและรวดเร็ว โดยหลักๆของแผ่นทันตกรรมจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ แบบพอร์สเลนฟัน โดยมีลักษณะเป็นเซรามิคสีเดียวกับฟัน และอีกแบบคือโลหะที่ผู้ป่วยสามารถเลือกใส่ยางหรือไม่ใส่ยางก็ได้


– การจัดฟันแบบใสถอดได้ (Invisible Aligners)

การจัดฟันแบบนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในขณะนี้ เพราะจะมองไม่เห็นอุปกรณ์ในการจัดฟัน ทำให้รู้สึกว่าเหมือนไม่ได้จัดฟันอยู่เลย แต่จะต้องทำการใส่ไว้ตลอดเวลาเหมือนกับการจัดฟันแบบอื่นทั่วไป แต่จะสามารถถอดออกมาเพื่อรับประทานหรือในขณะที่แปรงฟันเท่านั้น เพื่อช่วยให้ฟันเข้าที่เรียงตัวเป็นระเบียบสวยงาม ซึ่งตัวอุปกรณ์นี้จะถูกเปลี่ยนโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกๆ 2 สัปดาห์ เพื่อขัยฟันให้เข้าที่เป็นระเบียบ แต่การจัดฟันในรูปแบบนี้โดยส่วนใหญ่จะทำการจัดในผู้ที่ฟันมีปัญหาไม่มากเท่านั้น ซึ่งทันตแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยเอง


– การจัดฟันด้านใน (Lingual Braces)

ต้องขอบอกเลยว่าวิธีการจัดฟันในรูปแบบนี้นั้น เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีอายุ ที่ห่วงเรื่องภาพลักษณ์ในการจัดฟัน หรือไม่อยากให้ใครเห็นว่ากำลังจัดฟัน เนื่องจากการจัดฟันด้านในคือการติดตั้งอุปกรณ์จัดฟันด้านหลังของฟัน จึงทำให้คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้ว่าท่านกำลังใส่อุปกรณ์ในการจัดฟันอยู่ แต่เรื่องความสามารถในการเรียงตัวของฟันก็ไม่ต่างจากการทำการจัดฟันด้วยวิธีการอื่นๆ แต่วิธีนี้เน้นหนักไปที่การเสริมภาพลักษณ์สำหรับท่านที่อายคนอื่น กลัวจะเห็นว่ากำลังจัดฟันอยู่เท่านั้นเอง

ทั้งหมดนี้ก็คือรูปแบบการจัดฟันต่างๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมมากๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่ต้องการทำการจัดฟันก็ควรที่จะคำนึงถึงด้วยว่า การจัดฟันในบางประเภทต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี และพบแพทย์เป็นประจำ 4-8 สัปดาห์ ต่อครั้ง และไม่ควรผิดนัดทันตแพทย์ เพราะอาจจะมีปัญหาต่อการเรียงตัวของฟัน และต้องเข้าใจด้วยว่าอุปกรณ์จัดฟันบางชนิดจะไม่สามารถถอดได้จนกว่าการจัดฟันจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งการดูแลรักษาความสะอาดก็จะยากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ตามการดูแลรักษาความสะอาดในช่องปากให้ดีที่สุดถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดขั้นตอนแรกเพื่อให้สุขภาพช่องปากและฟันไม่เกิดปัญหาเพิ่มเติมหลังจากที่จัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นเอง

2
หมอประจำบ้าน: กินสารพิษหรือยาพิษ (Ingestion of poisons)

สารพิษหรือยาพิษ ที่เข้าสู่ร่างกายโดยการกินที่พบบ่อย ๆ ได้แก่

1. ยา เช่น ยาที่ใช้ภายนอก (ทิงเจอร์ไอโอดีน ด่างทับทิม) ยาแก้ปวด (แอสไพริน พาราเซตามอล) ยานอนหลับ ยาถ่าย ยารักษาโรคหัวใจ เป็นต้น

ยาพวกนี้ถ้ากินเข้าไปจำนวนมากอาจเป็นพิษได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก

2. วัตถุเคมีที่ใช้ในบ้าน เช่น ผงซักฟอก น้ำยาขัดพื้น แลกเกอร์ ทินเนอร์ น้ำมันก๊าด ดีดีที เป็นต้น

3. สารเคมีที่ใช้ในทางเกษตรกรรม เช่น ยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพืช เป็นต้น

4. ยาพิษที่ใช้เบื่อสัตว์ เช่น ยาเบื่อหนูหรือสุนัข

5. สัตว์หรือพืชพิษ อ่านเพิ่มเติมใน พิษปลาปักเป้า พิษแมงดาถ้วย, พิษปลาทะเล, พิษหอยทะเล, พิษคางคก และพิษเห็ด

สาเหตุ

เด็กบางคนอาจกินสารพิษเพราะความไม่รู้ภาษาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น ดื่มน้ำมันก๊าด หรือกินยาเม็ดที่มีสีสันสวย ๆ หรือกินยาน้ำที่ออกรสหวาน เป็นต้น

ผู้ใหญ่อาจกินสารพิษเพราะความเผอเรอ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือจงใจที่จะฆ่าตัวตายได้


อาการ

อาการขึ้นกับชนิดและปริมาณของสารพิษ และระยะเวลาที่กิน

ในที่นี้จะกล่าวถึงสารเคมีที่อาจพบได้บ่อยเพียงบางชนิดเท่านั้น เช่น

ยานอนหลับกลุ่มบาร์บิทูเรต ถ้ากินเกินขนาดมาก ๆ จะทำให้ซึม ไม่ค่อยรู้ตัว หายใจตื้นและช้า เหงื่อออก ตัวเย็น ตัวเขียว รูม่านตาโตและไม่หดเมื่อถูกแสง หมดสติ และตายในที่สุด

แอสไพริน ถ้ากินขนาดมาก ๆ ทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด (acidosis) จะมีอาการหายใจหอบลึก หน้าแดง ไข้สูง ปวดท้อง อาเจียน มีภาวะขาดน้ำ มีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ ชัก และหมดสติถึงตายได้

พาราเซตามอล ถ้ากินในขนาดมากกว่า 140 มก./กก. จะทำให้ตับถูกทำลายภายใน 24-48 ชั่วโมง เกิดภาวะตับแข็งหรือตับวายเฉียบพลันได้

ไอโอดีน (เช่น ทิงเจอร์ไอโอดีนที่ใช้ใส่แผล) ทำให้ปากคอและหลอดอาหารไหม้และเจ็บ อาเจียนออกมาเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำเงิน กระหายน้ำ ท้องเดิน (อาจถ่ายเป็นเลือด) อ่อนเพลีย วิงเวียน เป็นลม และชัก

ด่างทับทิม ถ้ากินเกล็ดหรือน้ำด่างทับทิมเข้มข้นจะทำให้กัดเนื้อเยื่อในปาก กล่องเสียงบวม ชีพจรเต้นช้าและช็อก

เมนทอลหรือยูคาลิปตัส ทำให้อาเจียน ท้องเดิน หายใจตื้น ปัสสาวะเป็นเลือด ชัก และหมดสติ

กรดบอริก (boric acid) ทำให้มีไข้ขึ้น อาเจียน ท้องเดิน ถ่ายเป็นมูกเลือด หน้าแดง ซึม ชัก ตัวเหลือง ตัวเขียว ไตถูกทำลาย ความดันโลหิตต่ำ หมดสติ ถึงตายได้

ผงซักฟอก อาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ถ้ามีส่วนผสมของด่าง ก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร

น้ำมันก๊าด เบนซิน ทินเนอร์ ทำให้อาเจียน ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) วิงเวียน ชีพจรเบาและเต้นไม่สม่ำเสมอ ชัก ถ้าสำลักเข้าไปในปอดอาจทำให้ปอดอักเสบ

อาการเป็นพิษเรื้อรัง จะมีอาการปวดศีรษะ ซึม ตามัว มือเย็นและชา อ่อนเพลีย ความจำเสื่อมใจสั่น ความคิดสับสน ซีด เจ็บในปาก

สารพวกฟีนอล (phenol) เช่น กรดคาร์บอลิก (carbolic acid) เครซอล (cresol มีชื่อการค้า เช่น Lysol) เฮกซาคลอโรฟีน (hexachlorophene) เป็นต้น พวกนี้เป็นกรดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร กระหายน้ำ คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะออกน้อย กล้ามเนื้อชักเกร็ง ช็อก และการหายใจล้มเหลว

ฟอสฟอรัส (inorganic phosphorus) ซึ่งมีอยู่ในหัวไม้ขีดไฟ ทำให้เจ็บในปากและลำคอ อาเจียน ท้องเดิน ปวดศีรษะ เยื่อหุ้มปอดอักเสบ อ่อนเปลี้ย เพลียแรง ดีซ่าน ปัสสาวะออกน้อย มีจุดแดงขึ้นตามผิวหนังและช็อก

ดีดีที จะทำให้มีอาการอ่อนเพลีย ปวดตามแขนขา กระสับกระส่าย กล้ามเนื้อกระตุก ชัก และหมดสติ

ยาฆ่าแมลงประเภทออร์แกโนฟอสเฟต (organophosphate) เช่น พาราไทออน (parathion) มาลาไทออน (malathion) คาร์บาเมต (carbamate) เป็นต้น

มักมีอาการภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังกิน ด้วยอาการปวดศีรษะ เหงื่อออก น้ำลายฟูมปาก น้ำตาไหล อาเจียน ท้องเดิน กล้ามเนื้อเต้นกระตุก ชัก หอบ ตาลาย รูม่านตาหดเล็ก และอาจตายภายในเวลารวดเร็ว

พาราควอต (paraquat) ซึ่งมียาปราบวัชพืช ทำให้เกิดอาการชัก ปอดบวมน้ำ ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย ภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงหลายวัน ในที่สุดจะมีอาการระบบหายใจล้มเหลว เนื่องจากเกิดเยื่อพังผืดในปอด

ถ้าขนาดเข้มข้น อาจกัดเยื่อบุหลอดอาหาร ทำให้ริมฝีปากและลำคอไหม้พองและเป็นแผล อาจทำให้หลอดอาหารเป็นแผลทะลุ

ผู้ป่วยจะเสียชีวิตจากภาวะช็อกจากหัวใจ (cardiogenic shock) และอวัยวะหลายระบบล้มเหลวภายใน 1-4 วัน

สตริกนิน (strychnine) ซึ่งมักทำเป็นยาเบื่อสุนัข ทำให้เกิดอาการชัก หลังแอ่น หายใจลำบาก น้ำลายฟูมปาก และขาดออกซิเจน

ไซยาไนด์ (cyanides) ซึ่งอาจมีอยู่ในยาเบื่อหนู จะทำให้ตัวเขียว หายใจลำบาก ความดันเลือดตก ถึงตายได้รวดเร็ว

สารปรอท ทำให้มีอาการน้ำลายฟูมปาก กระหายน้ำ ปวดแสบปวดร้อนในปากและลำคอ เยื่อบุในช่องปากบวมและเปลี่ยนสี ปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน ถ่ายเป็นเลือด ไม่มีปัสสาวะออก เเละช็อก

ถ้าเป็นพิษเรื้อรัง จะมีอาการอ่อนเพลีย เดินเซ มือสั่น ซึมเศร้า เป็นตะคริว

สารหนู (arsenic) อาการมักเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมงหลังกิน (บางรายอาจนานถึง 12 ชั่วโมง) มีอาการปวดท้อง กลืนลำบาก อาเจียนติด ๆ กัน ท้องเดิน เป็นตะคริว ต่อมาจะรู้สึกกระหายน้ำอย่างรุนแรง และช็อก

เมทิลแอลกอฮอล์ (methyl alcohol) ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ที่ใช้จุดไฟ (เป็นคนละชนิดกับเอทิลแอลกอฮอล์ซึ่งทำเป็นเหล้า เบียร์) เมื่อกินเข้าไปอาจทำให้มีอาการปวดศีรษะ ปวดท้อง จุกแน่น คลื่นไส้ อาเจียน และตาบอด (เพราะประสาทตาถูกทำลาย) ผู้ป่วยอาจมีอาการตัวเขียว ชัก และหมดสติ

กรดหรือด่างอย่างแรง ทำให้ผิวหนังและเยื่อบุของทางเดินอาหารถูกกัดไหม้และอักเสบ มีอาการเจ็บในปากและลำคอ กระหายน้ำ คลื่นไส้ อาเจียน อาเจียนเป็นเลือด กลืนลำบาก หายใจลำบาก ช็อก

บางรายอาจมีการแตกทะลุของหลอดอาหารและกระเพาะ ทำให้กลายเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ หรือหลอดอาหารเกิดการตีบตันจากการอักเสบได้

ภาวะแทรกซ้อน

ขึ้นกับชนิดของสารพิษ สารพิษร้ายแรงอาจมีผลต่อระบบประสาทและสมอง (ทำให้ชัก หมดสติ อัมพาต) ระบบเลือด (เลือดออก โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ มะเร็งเม็ดเลือดขาว) ทางเดินหายใจ (ปอดอักเสบ) ตับ (ตับอักเสบ ตับแข็ง) ทางเดินอาหาร (ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน) หรืออื่น ๆ บางชนิดอาจระคายเคือง (กัด) ต่อผิวหนังและเยื่อบุของทางเดินอาหาร เช่น สารที่เป็นกรดหรือด่างอย่างแรง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ สิ่งตรวจพบ และประวัติการสัมผัสสารพิษ


การรักษาโดยแพทย์

เมื่อผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาล แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. รีบทำให้ผู้ป่วยอาเจียน และให้กินผงถ่านกัมมันต์เช่นเดียวกับที่แนะนำไว้ในเรื่องการปฐมพยาบาล (อ่านเพิ่มเติมที่ "การปฐมพยาบาล สำหรับผู้ป่วยที่กินสารพิษ สัตว์พิษ หรือพืชพิษ" ในหัวข้อ การดูแลตนเอง ด้านล่าง)

2. ทำการล้างกระเพาะอาหารด้วยน้ำเกลือนอร์มัลหรือน้ำ ห้ามทำในรายที่หมดสติ ชัก หรือกินกรด ด่าง น้ำมันก๊าด เบนซิน หรือทินเนอร์

3. ให้การรักษาตามอาการ เช่น

    ถ้ามีภาวะขาดน้ำ ช็อกหรือหมดสติ ให้น้ำเกลือ
    ถ้าหายใจลำบากหรือตัวเขียว ให้ออกซิเจนและอาจต้องเจาะคอช่วยหายใจ ในรายที่กินพาราควอต ไม่ควรให้ออกซิเจน นอกเสียจากผู้ป่วยมีภาวะขาดออกซิเจนรุนแรง เพราะออกซิเจนส่งเสริมให้เกิดภาวะเป็นพิษจากพาราควอต
    ถ้ามีภาวะปอดบวมน้ำ (ผู้ป่วยมีอาการหอบและฟังปอดมีเสียงกรอบแกรบ) ให้ฉีดฟูโรซีไมด์ 1-2 หลอด เข้าหลอดเลือดดำ
    ถ้าชัก ฉีดไดอะซีเเพม 5-10 มก. เข้าหลอดเลือดดำ
    ถ้ามีภาวะเลือดเป็นกรด ฉีดโซเดียมไบคาร์บอเนต
    ถ้ามีภาวะไตวาย อาจต้องทำการฟอกล้างของเสียหรือล้างไต (dialysis)
    ถ้ามีการติดเชื้อ เช่น ปอดอักเสบ ให้ยาปฏิชีวนะ


4. ให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น

    ถ้าเกิดจากยาฆ่าแมลงประเภทออร์เเกโนฟอสเฟต (ผู้ป่วยจะมีรูม่านตาหดเล็กทั้ง 2 ข้าง) แพทย์จะฉีดอะโทรพีนเข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าหลอดเลือดดำทุก 5-10 นาที จนกระทั่งรูม่านตาขยาย และมีอาการคอแห้ง หลังจากนั้นให้ยาต้านพิษ ได้แก่ พราลิดอกไซม์ (pralidoxime) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำช้า ๆ ถ้าอาการหายใจยังไม่ดีขึ้นให้ฉีดซ้ำได้ในอีก 30 นาทีต่อมา (สำหรับผู้ป่วยที่กินคาร์บาเมตไม่จำเป็นต้องให้พราลิดอกไซม์)
    ถ้าเกิดจากสารหนู ให้ยาต้านพิษได้แก่ ไดเมอร์เเคปรอล (dimercaprol) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
    ถ้าเกิดจากดีดีที นอกจากสวนล้างกระเพาะด้วยน้ำอุ่นแล้ว ควรให้กินยาระบาย ได้แก่ โซเดียมซัลเฟต (sodium sulfate) ขนาด 30 กรัมในน้ำ 200 มล. และให้กินฟีโนบาร์บิทาลเพื่อสงบประสาท
    ถ้าเกิดจากการกินพาราเซตามอลเกินขนาด ให้อะเซทิลซิสเตอีนกินหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ

การรักษาขั้นพื้นฐาน (ที่สถานพยาบาล) สำหรับผู้ป่วยที่กินสัตว์หรือพืชพิษ

1. ถ้าผู้ป่วยกินสัตว์หรือพืชพิษมาไม่เกิน 1 ชั่วโมง และยังไม่อาเจียน รีบทำให้ผู้ป่วยอาเจียนด้วยการให้ไอพีเเคกน้ำเชื่อมหรือใช้นิ้วล้วงคอ

2. ให้ผู้ป่วยกินผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ขนาด 1 กรัม/กก. โดยผสมน้ำ 1 แก้ว โดยให้ผู้ป่วยดื่มเอง ถ้าอาเจียนหรือดื่มเองไม่ได้ ให้ป้อนผ่านท่อสวนกระเพาะ (stomach tube) ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ควรใส่ท่อช่วยหายใจก่อนเพื่อป้องกันการสำลัก

ควรให้เร็วที่สุดเมื่อพบผู้ป่วย (วิธีนี้จะได้ผลมากที่สุดเมื่อให้กินภายใน 30 นาทีหลังกินสัตว์หรือพืชพิษ) ไม่ควรให้ก่อนหรือหลังให้ยาที่ทำให้อาเจียน

ในรายที่รับพิษร้ายเเรง เช่น ปลาปักเป้า แมงดาถ้วย เห็ดพิษร้ายแรง หรือสงสัยรับพิษปริมาณมาก ควรให้ซ้ำทุก 4 ชั่วโมง

3. ทำการล้างกระเพาะอาหารด้วยน้ำเกลือนอร์มัลหรือน้ำ

วิธีนี้จะได้ผลดีเมื่อผู้ป่วยกินสารพิษมาไม่เกิน 1 ชั่วโมง และไม่มีอาการอาเจียน ถ้าทำหลังกินสารพิษมากกว่า 4 ชั่วโมง อาจไม่ได้ประโยชน์และไม่คุ้มกับผลข้างเคียง (ที่สำคัญคือการสำลักเข้าปอดทำให้ปอดอักเสบ)

ควรกระทำโดยบุคลากรที่ชำนาญ และในที่ที่มีความพร้อม

ไม่จำเป็นต้องทำ ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก และห้ามทำในผู้ป่วยชัก ไม่ค่อยรู้ตัว หมดสติ

อาจให้ผงถ่านกัมมันต์กินก่อนล้างกระเพาะ หรือผสมผงถ่านกัมมันต์ในน้ำล้างกระเพาะก็ได้

4. ให้ผู้ป่วยดื่มโซเดียมไบคาร์บอเนต ขนาด 2-5% จำนวน 50 มล.

5. ให้กินยาระบาย ซอร์บิทอล (sorbitol) ขนาด 70% อาจกินเดี่ยว ๆ หรือผสมกับผงถ่านกัมมันต์แทนน้ำก็ได้ ถ้าไม่มีอาจให้ยาระบายอื่น ๆ เช่น ยาระบายแมกนีเซีย (Milk of Magnesia) แทน ให้ได้ไม่เกิน 2 ครั้ง

ห้ามทำ ในรายที่มีอาการถ่ายท้องมากอยู่แล้ว หรือมีภาวะขาดน้ำที่ยังไม่ได้รับการทดแทน

6. ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

7. ถ้าชักฉีดไดอะซีเเพม 5-10 มก.เข้าหลอดเลือดดำ

8. ถ้าหยุดหายใจหรือหายใจไม่ได้ ให้ทำการช่วยเหลือด้วยการเป่าปาก หรือใช้เครื่องช่วยหายใจ

9. ถ้าหมดสติ ให้การรักษาแบบหมดสติ


การดูแลตนเอง

หากสงสัยว่าผู้ป่วยกินสารพิษหรือยาพิษ ควรทำการปฐมพยาบาล แล้วรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที

การปฐมพยาบาล สำหรับผู้ป่วยที่กินสารพิษ สัตว์พิษ หรือพืชพิษ

1. รีบทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เพื่อขับพิษออก

    ถ้ามียากระตุ้นอาเจียน ได้แก่ ไอพีแคกน้ำเชื่อม (syrup ipecac) ให้กินครั้งละ 15-30 มล. (เด็กโต 15 มล.) และดื่มน้ำตามไป 1 แก้ว ถ้ายังไม่อาเจียนใน 20 นาที กินซ้ำได้อีก 1 ครั้ง
    ถ้าไม่มียา ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ 1 แก้ว แล้วใช้นิ้วล้วงเข้าไปเขี่ยที่ผนังลำคอกระตุ้นให้อาเจียน ถ้าไม่ได้ผลทำซ้ำอีกครั้ง

ควรเก็บเศษอาหารที่อาเจียน ไว้ส่งตรวจวิเคราะห์

วิธีนี้จะได้ผลดี ต้องรีบทำภายใน 1 ชั่วโมงหลังกินสารพิษ และไม่ต้องทำหากผู้ป่วยมีอาการอาเจียนเองอยู่แล้ว

ห้ามทำ ในผู้ป่วยที่ชัก ไม่ค่อยรู้ตัวหรือหมดสติ หรือกินกรด ด่าง น้ำมันก๊าด ทินเนอร์ หรือสารพิษไม่ทราบชนิด

2. ถ้ามีผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ให้กินขนาด 1 กรัม/กก. โดยผสมน้ำ 1/2-1 แก้ว เพื่อลดการดูดซึมสารพิษเข้าร่างกาย (ไม่ต้องทำถ้าผู้ป่วยกินกรด ด่าง น้ำมันก๊าด ทินเนอร์)

ถ้าไม่มีผงถ่านกัมมันต์ ให้กินไข่ดิบ 5-10 ฟอง หรือดื่มนมหรือน้ำ 4-5 แก้ว

3. สำหรับผู้ป่วยที่กินพาราควอต ให้กินสารละลายดินเหนียว (Fuller’s earth) โดยผสมผงดินเหนียว 150 กรัม หรือ 2 1/2 กระป๋อง ในน้ำ 1 ลิตร ถ้าไม่มีให้ดื่มน้ำโคลนดินเหนียวจากท้องร่องในสวน (ที่ไม่มีตะปูหรือเศษแก้ว หรือสารพิษตกค้าง) ซึ่งจะลดพิษของยานี้ได้

4. สำหรับผู้ที่กินปลาปักเป้า แมงดาถ้วย ปลาทะเลพิษ หอยทะเลพิษ เห็ดพิษ ให้ดื่มโซเดียมไบคาร์บอเนตขนาด 2-5% จำนวน 50 มล. (อาจเตรียมโดยผสมผงฟู 1-2.5 กรัม ในน้ำ 50 มล.) ซึ่งจะช่วยลดพิษของอาหารพิษได้

ห้ามทำ ข้อ 2-4 ถ้าผู้ป่วยชัก ไม่ค่อยรู้ตัวหรือหมดสติ

5. ถ้าผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำ ให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

6. ถ้าผู้ป่วยชักหรือหมดสติ ให้ทำการปฐมพยาบาลเช่นเดียวกับผู้ป่วยชัก (อ่านใน "โรคลมชัก" เพิ่มเติม) หรือหมดสติ (อ่านใน "อาการหมดสติ" เพิ่มเติม)

7. รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ควรนำสารพิษที่ผู้ป่วยกินหรืออาเจียนออกมาไปให้แพทย์ตรวจวิเคราะห์ด้วย


การป้องกัน

1. ควรป้องกันมิให้เด็กหยิบยาหรือสารเคมีกินเอง โดยเก็บยาและสารเคมีให้มิดชิด หรือไว้ในที่สูงเกินกว่าเด็กจะหยิบถึง

2. ควรป้องกันการหยิบยาผิด หรือกินถูกสารพิษด้วยความเผอเรอ โดย

    เก็บยาไว้ในที่มิดชิด หรือไว้ในตู้ยาที่เด็กหยิบเองไม่ได้
    เขียนฉลากยาให้ชัดเจน
    สารเคมีที่มีพิษควรเก็บไว้เป็นที่เฉพาะ และปิดให้มิดชิด อย่าปะปนกับอาหารที่กิน หรือวางอยู่ในตู้กับข้าว

ข้อแนะนำ

1. ผลการรักษาขึ้นกับชนิดและปริมาณของสารพิษที่ได้รับ สภาพของผู้ป่วยและความรุนแรงของโรค

ถ้าหากได้รับการปฐมพยาบาลอย่างถูกต้องและได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็มีโอกาสรอดได้

2. ผู้ที่ได้รับสารพิษมักมีอาการแสดงภายใน 36 ชั่วโมง ถ้าหลัง 36 ชั่วโมงไปแล้วยังไม่มีปรากฏอาการก็ถือว่าปลอดภัย

3
mobile expo 2025 เตรียมพบ realme C63 มาพร้อมฝาหลังหนังวีแกน แถมชาร์จไว 45W!

สร้างปรากฎการณ์ไม่หยุด! ปีนี้ถือเป็นปีของ realme เค้าจริง ๆ เพราะเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่แต่ละครั้ง ทำเอาวงการสมาร์ตโฟนฮือฮากันตลอด และไม่ได้แค่ตระกูลเรือธงอย่าง GT หรือ Number series เท่านั้น แต่กลุ่มบัดเจ็ตก็ปังไม่แพ้กัน


ล่าสุด realme เตรียมเปิดตัว “realme C63” มือถือขวัญใจสายบัทเจ็ทที่ไม่เคยกั๊กสเปก! รอบนี้ชูจุดเด่นที่ความหรูหราเกินหน้าเพื่อนๆ ในเซกเมนต์เดียวกันด้วยการตกแต่งฝาหลังหนังวีแกนเกรดพรีเมียม (Premium Vegan Leather) ซึ่งเป็นวัสดุราคาแพงที่มีแต่ในมือถือระดับไฮเอนด์เท่านั้น มารอบนี้ realme จัดให้! ใครอยากได้มือถือบัดเจ็ตที่ให้สัมผัสการจับถือเนียนนุ่มมือสุดพรีเมียม แถมสวยเด่นเน้นความหรูหราเหมือนราคาหลายหมื่น ต้องไม่พลาด C63 อีกไม่นานเกินรอ!

ตามสไตล์มือถือ realme ที่ประสิทธิภาพต้องดีเกินราคา ถึงจะเป็นมือถือสายบัทเจ็ตแต่ C63 อัดซีพียูตัวแรง 8 แกนประมวลผล เพื่อให้ทำงานบนแอปพลิเคชันได้แบบลื่น ๆ และอีกหนึ่งไฮไลต์คือระบบชาร์จไว 45W ชาร์จแค่ 30 นาที ได้แบตเตอรี่ถึง 50%

ยังไม่หมด! realme C63 ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำ ๆ ไว้มากมาย เพื่อให้ผู้ใช้สนุกสนานกับสมาร์ตโฟนเครื่องนี้ได้ไม่แพ้รุ่นไฮเอนด์เลยทีเดียว แล้วคอยพบกับ C63 เร็ว ๆ นี้ พร้อมโปรโมชันจัดเต็มสไตล์ realme แน่นอน!

4
คอนโดติดรถไฟฟ้าชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 (เฟส 2) (Chewathai Hallmark Ladprao - Chokchai 4 Phase 2)
เริ่มต้น 2.19 ลบ.

ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 (เฟส 2) (Chewathai Hallmark Ladprao - Chokchai 4 Phase 2)
คอนโดมิเนียม Low Rise สไตล์โมเดิร์นลอฟท์ เป็นคอนโดที่ให้คุณมีความสุขเรียบง่ายกับสิ่งรอบตัวได้ครบในที่เดียว ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียบพร้อมในโครงการ และความสุขเรียบง่ายที่มีอยู่รายทาง พร้อมยกระดับความสุข ให้มีสไตล์ด้วยการดีไซน์ให้ทุกฟังก์ชั่นใช้งานง่าย สำหรับทุกการใช้ชีวิต

คอนโดบนถนนทางลัด ลาดพร้าว 71 จึงเป็นคอนโดที่ให้คุณเดินทางเข้าออกถนนลาดพร้าว, ถนนโชคชัย 4 และถนน เลียบทางด่วน ได้สะดวกขึ้น และยังใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลือง** สถานีโชคชัย 4 ที่นี่จึงเป็นที่ๆ คุณเลือกไปถึงจุดหมายได้ง่ายขึ้นบนทุกเส้นทางชีวิต ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 คอนโด ที่ใช่ที่สุดกับชีวิต

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                    ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 (เฟส 2) (Chewathai Hallmark Ladprao - Chokchai 4 Phase 2)
 เจ้าของโครงการ              ชีวาทัย
 ราคา                             เริ่มต้น 2.19 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.            เริ่มต้น 72,700 บ./ตร.ม.
 ลักษณะทำเล                    คอนโดในเมือง
 ความสูงคอนโด                Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี                  1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน, 1 Bed Plus
 ขนาดห้องที่มี                     ตั้งแต่ 26.00 ถึง 45.50 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด                     3 ไร่ 3 งาน 2 ตร.ว.
 จำนวนตึก                         3 อาคาร
 จำนวนชั้น                       4-8่ ชั้น
 จำนวนห้อง                     380 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง              45.00 บ./ตร.ม.
 สาธารณูปโภค                 สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, ประตู Key Card, อื่นๆ (CLUBHOUSE), Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน         ลาดพร้าว, จตุจักร, ประชาชื่น
 ที่ตั้ง          ถนนสังคมสงเคราะห์ แขวงสะพานสอง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:              ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สถานีบางซื่อ - หัวลำโพง(ลาดพร้าว), ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเหลือง, สถานี(ลาดพร้าว - สำโรง)(โชคชัย 4), ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเทา, สถานี(วัชรพล - ท่าพระ)(ไม่ระบุ)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ตลาดโชคชัย 4
โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4
สน.โชคชัย 4
เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสท์วิลล์
โลตัส

5
จัดฟันบางนา: การดูแลหลังการฟอกสีฟัน

การฟอกสีฟันเป็นวิธีการรักษาทางทันตกรรม สำหรับผู้ที่มีปัญหาการเปลี่ยนสีของฟัน ซึ่งการฟอกสีฟันนั้น เป็นการเพิ่มความขาวให้กับสีของฟันด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันในการฟอกสีฟันให้เป็นธรรมชาติ ทำให้เรากลับมามีรอยยิ้มที่สวยงามเป็นธรรมชาติ ทำให้รู้สึกมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น การฟอกสีฟันสามารถทำได้กับทันตแพทย์โดยตรงที่คลินิกของเราก็มีการใช้สารฟอกสีฟันที่มีความเข้มข้นสูงและมีเครื่องมือ เครื่องใช้ที่ทันสมัย ทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน การฟอกสีฟันก็สามารถทำเองได้เช่นเดียวกัน เพราะผลิตภัณฑ์การฟอกสีฟันมีขายตามร้านขายยาทั่วไป แต่วิธีการฟอกเองนั้นอาจจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ เพราะเราไม่มีทันตแพทย์ที่คอยให้คำแนะนำ การฟอกสีฟันโดยตรงกับทางคลินิกก็มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่หากพูดถึงผลลัพธ์แล้ว การฟอกสีฟันจะได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีปัญหาฟันเหลืองและจะมีประสิทธิภาพน้อยกับฟันสีน้ำตาลหรืออาจไม่ได้ผลเลยด้วยซ้ำ

หากฟันมีสีเทาหรือม่วง รวมไปถึง วิธีการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟัน ภายหลังจากการฟอกสีฟันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากแต่ก่อนที่จะพูดถึงการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟัน ภายหลังจากการที่ฟอกสีฟันแล้ว เราจะมาพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เรามีฟันเหลือง ฟันคล้ำ ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจซึ่งต้องบอกว่าการเปลี่ยนแปลงของสีฟันนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นภายในตัวฟันหรือภายนอก สำหรับปัจจัยภายในตัวฟันอาจจะทำให้ฟันตายทำให้ไม่มีเลือดและประสาทมันหล่อเลี้ยงฟันจะมีสีทึบหรือมีการสะสมของสารมีสีขณะสร้างฟันทำให้ฟันมีสีขุ่นโดยธรรมชาติหรืออาจจะการได้รับยาบางชนิดที่ส่งผลต่อความผิดปกติของโครงสร้างฟัน ต่อมาคือสาเหตุภายนอกตัวฟันก่อน ได้แก่ การได้รับอุบัติเหตุ เช่น การกระแทกที่ฟัน มีการสะสมของคราบบนสีฟัน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว อาจจะเกิดจากการทำความสะอาดช่องปากที่ไม่ดีพอภายหลังจากการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม เช่น เราอาจจะแปรงฟันไม่สะอาดหรือทำให้มีคราบอาหารแบคทีเรียและหินปูนสะสมบนเนื้อฟัน รวมไปถึง การรับประทานอาหารที่มีสี เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม และลูกอม นอกจากนี้ การสูบบุหรี่เป็นประจำก็ส่งผลทำให้มีสีฝันที่เปลี่ยนไปได้เช่นเดียวกัน

สำหรับวันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงวิธีการดูแลรักษาฟัน ภายหลังจากการฟอกสีฟันการฟอกสีฟันนั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำโดยทันตแพทย์โดยตรงหรือฟอกเองที่บ้าน หากต้องการให้ผลลัพธ์อยู่คงทน ยาวนาน เราควรดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันให้มากเป็นพิเศษ อาจจะเริ่มจากการทำความสะอาดฟัน ด้วยการแปรงฟันใช่ไหมขัดฟันและบ้วนปากเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพราะการใช้ยาสีฟัน ชนิดที่ช่วยทำให้ฟันขาวร่วมด้วย แล้วจะเป็นการส่งเสริมให้การฟอกสีฟันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีฟันก็คือ การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่อาจจะทำให้เกิดคราบบนฟัน เพราะฉะนั้น การหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดคราบบนฟันเช่น ชา กาแฟ ไวน์แดง เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำอัดลม หรืออาหารที่มีสีเข้มอย่าง แกงกะหรี่ เย็นตาโฟ


รวมไปถึงซอสต่างๆก็ส่งผลให้เรามีสีฟันที่เปลี่ยนไปได้รวมไปถึง พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเราก็ส่งผลเช่นเดียวกันถ้าหากเรามีพฤติกรรมสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพช่องปากและฟันเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น การดูแลรักษาฟันหลังจากฟอกสีฟันแล้ว เราต้องควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่เพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุดและที่สำคัญควรหมั่นตรวจสุขภาพและเข้ารับการทำความสะอาดช่องปากกับทันตแพทย์เป็นประจำปีละสองครั้งเพื่อให้เรามีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี รวมไปถึงมีฟันที่ขาวทำให้เรายิ้มได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้  วิธีการรักษาความสะอาดช่องปากและฟันนอกจากการแปลงฟันแล้วเราอาจจะใช้ไหมขัดฟันช่วยในการทำความสะอาดบ้วนปากด้วยน้ำยาผสมฟลูออไรด์ก่อนนอนจะช่วยทำให้เรามีฟันที่ขาวขึ้นได้

นอกจากนี้การรับประทานอาหาร ภายหลังจากการฟอกสีฟันก็ถือว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกันเพราะเราจะต้องงดรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่สามารถทำให้ฟันเรามีสีที่เปลี่ยนแปลงไปอัน ได้แก่ อาหารที่เป็นกรดอาหาร มีรสจัด เช่นเปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด อาหารร้อนหรือเย็นจนเกินไป ควรงดรับประทานภายหลังจากการฟอกสีฟัน 2 สัปดาห์ แต่การฟอกสีฟัน ถึงแม้ว่าจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ก็มีข้อห้ามและข้อจำกัดบางข้อที่คนที่มีปัญหาไม่สามารถเข้ารับการฟอกสีฟันได้เช่น คนที่มีภาวะเหงือกร่น ที่เผยให้เห็นเนื้อฟันสีเหลืองบริเวณรากฟัน ผู้ที่มีฟันสีคล้ำที่เกิดจากการรับประทานยาเตตราไซคลีน รวมไปถึงผู้ที่มีฟันที่มีสีคล้ำ จากการเกิดอุบัติเหตุร วมไปถึงการเกิดฟันผุด้วย

ซึ่งการฟอกสีฟันก็อาจจะมีผลข้างเคียงหรือผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากและฟัน โดยในช่วงแรก อาจจะทำให้ผู้เข้ารับการรักษามีอาการรู้สึกเสียวฟัน ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยมากที่สุด สำหรับผู้ที่เข้ารับการฟอกสีฟัน ซึ่งจะเกิดแค่ไหนช่วงแรกที่มีอาการอยู่ประมาณ1-3 วัน จากนั้นจะค่อยๆหายไป เพราะอาการเสียวฟัน มีสาเหตุมาจากน้ำยาฟอกสีฟัน  ส่งผลทำให้เม็ดสี แตกตัวออกเป็นโมเลกุลเล็กๆ ทำให้เนื้อฟันถูกดึงน้ำออกไปด้วย และไปกระตุ้นปลายประสาท ในเนื้อฟันที่ไวต่ออุณหภูมิจึงทำให้รู้สึกเสียงฝันได้ง่าย

หากผู้เข้ารับการรักษามีอาการเสียวฟันมาก ก็สามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้ นอกจากนี้ อาจจะมีผลข้างเคียงทำให้เกิดเหงือกเป็นแผลเพราะถ้าหากน้ำยาฟอกสีฟันสัมผัสกับบริเวณเหนือ อาจจะทำให้เกิดให้ได้นั่นเอง ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหงือกหรือโรคที่เกี่ยวกับช่องปาก และยังทำให้เรามีความมั่นใจมีบุคลิกภาพที่ดีสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ

6
การเลือกอุปกรณ์ยึดติดที่เหมาะสมกับประเภทของผ้ากันไฟ

การเลือกอุปกรณ์ยึดติดที่เหมาะสมกับประเภทของผ้ากันไฟเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าผ้ากันไฟจะถูกติดตั้งอย่างมั่นคง ปลอดภัย และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการป้องกันอัคคีภัย มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกอุปกรณ์ยึดติด ดังนี้


1. ประเภทของผ้ากันไฟ

ผ้าใยแก้ว: มักใช้ตัวยึดที่เป็นโลหะ เช่น สกรู หมุด หรือคลิป ที่สามารถทนความร้อนได้ดี และไม่ทำให้ผ้าเสียหาย

ผ้าอะรามิด: มีความแข็งแรงสูง อาจใช้ตัวยึดที่เป็นโลหะ หรือวัสดุพิเศษที่ออกแบบมาสำหรับผ้าอะรามิดโดยเฉพาะ

ผ้าซิลิกา: ต้องการตัวยึดที่ทนความร้อนสูงมาก อาจใช้ตัวยึดที่ทำจากวัสดุเซรามิก หรือโลหะผสมพิเศษ


2. วัสดุของพื้นผิวที่จะติดตั้ง

ผนังคอนกรีต: ใช้พุกและสกรู

ผนังไม้: ใช้สกรู หรือตะปู

ผนังเหล็ก: ใช้สกรู หรือหมุดย้ำ

เพดาน: ใช้ตัวยึดแบบแขวน หรืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาสำหรับยึดผ้ากับเพดาน


3. วิธีการติดตั้ง

การยึดแบบถาวร: ใช้สกรู หมุดย้ำ หรือการเชื่อม

การยึดแบบชั่วคราว: ใช้คลิป หรือตัวหนีบ

การยึดแบบปรับได้: ใช้ตัวยึดที่สามารถปรับความตึงของผ้าได้


4. ข้อกำหนดด้านความปลอดภัย

ทนความร้อน: อุปกรณ์ยึดติดต้องสามารถทนความร้อนได้ดี ไม่ละลาย หรืออ่อนตัวเมื่อสัมผัสกับความร้อน

ไม่ติดไฟ: อุปกรณ์ยึดติดควรทำจากวัสดุที่ไม่ติดไฟ หรือติดไฟได้ยาก

ความแข็งแรง: อุปกรณ์ยึดติดต้องมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับน้ำหนักของผ้ากันไฟ และแรงดึงที่อาจเกิดขึ้น


5. ความสะดวกในการใช้งาน

ติดตั้งง่าย: อุปกรณ์ยึดติดควรติดตั้งได้ง่าย และรวดเร็ว

ปรับได้: หากต้องการปรับความตึงของผ้า ควรเลือกใช้อุปกรณ์ยึดติดที่สามารถปรับได้

ถอดออกได้: หากต้องการถอดผ้าออกในภายหลัง ควรเลือกใช้อุปกรณ์ยึดติดที่สามารถถอดออกได้ง่าย


ตัวอย่างอุปกรณ์ยึดติด:

สกรู: ใช้สำหรับยึดผ้ากับผนัง หรือโครงสร้าง

หมุดย้ำ: ใช้สำหรับยึดผ้ากับโลหะ

คลิป: ใช้สำหรับยึดผ้าแบบชั่วคราว หรือปรับได้

ตัวยึดแบบแขวน: ใช้สำหรับยึดผ้ากับเพดาน

เทปทนความร้อน: ใช้สำหรับยึดผ้าในบริเวณที่ไม่ต้องการให้เห็นตัวยึด

การเลือกอุปกรณ์ยึดติดที่เหมาะสม จะช่วยให้การติดตั้งผ้ากันไฟเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมั่นใจได้ในความปลอดภัยในการใช้งาน

7
หมอประจำบ้าน: ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids)

ริดสีดวงทวาร เป็นภาวะที่หลอดเลือดดำที่มีอยู่ตามธรรมชาติของคนทั่วไปในบริเวณปลายลำไส้ใหญ่ (ไส้ตรง) และทวารหนักเกิดการบวม และโป่งพอง เป็นก้อน เรียกว่า "หัวริดสีดวง" แล้วมีการปริแตกของผนังหลอดเลือดขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ ทำให้มีเลือดออกเป็นครั้งคราว

ริดสีดวงทวารมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่

1. ริดสีดวงภายนอก (external hemorrhoid) เกิดขึ้นตรงปากทวารหนัก จากที่หลอดเลือดใต้ผิวหนังเกิดการโป่งพอง ซึ่งมองเห็นจากภายนอกและสามารถคลำได้

2. ริดสีดวงภายใน (internal hemorrhoid) เกิดตรงบริเวณที่อยู่ลึกขึ้นไปในทวารหนัก จากที่หลอดเลือดบริเวณนั้นเกิดการโป่งพอง ซึ่งมักมองไม่เห็นจากภายนอกและคลำไม่ได้ จะตรวจพบเมื่อใช้กล้องส่องตรวจ หรือพบในระยะที่มีหัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนัก

ริดสีดวงภายในแบ่งได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่

    ระยะที่ 1 หัวริดสีดวงหลบอยู่ภายใน ไม่ยื่นออกมานอกทวารหนัก อาจมีเพียงอาการเลือดออกสด ๆ ขณะถ่ายอุจจาระ
    ระยะที่ 2 หัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนักขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ และเลื่อนกลับเข้าไปได้เองเมื่อหยุดเบ่งถ่าย หรือหลังถ่ายอุจจาระเสร็จ
    ระยะที่ 3 หัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนักขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ และไม่เลื่อนกลับเข้าไปได้เองหลังถ่ายอุจจาระ ต้องใช้มือดันกลับเข้าไป
    ระยะที่ 4 หัวริดสีดวงยื่นย้อยออกมานอกทวารหนักตลอดเวลา ไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้ และอาจรู้สึกปวด

ริดสีดวงทวาร อาจพบเป็นเพียงหัวเดียวหรือหลายหัวก็ได้ และอาจเป็นริดสีดวงทวารภายนอกร่วมกับริดสีดวงทวารภายในก็ได้

โรคนี้พบได้บ่อยในคนทั่วไป พบเป็นสาเหตุอันดับแรก ๆ ของอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด และเมื่อยิ่งมีอายุมากขึ้นจะยิ่งพบได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพบได้บ่อยในคนอายุมากกว่า 50 ปี เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลายเริ่มอ่อนแอและมีการยืดตัว

โดยทั่วไปจะไม่ค่อยมีอาการรุนแรงหรืออันตราย แต่อาจเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง น่ารำคาญ หรือทำให้วิตกกังวล โดยมากมักจะมีอาการเวลาท้องผูก หรือท้องเดินบ่อยครั้ง

สาเหตุ

โรคนี้เกิดจากเครือข่ายของหลอดเลือดเฮมอร์รอยด์ (hemorrhoidal plexus) ที่บริเวณผนังของไส้ตรง (rectum) ส่วนล่าง และทวารหนัก (anus) เกิดการบวมหรือโป่งพอง เนื่องจากมีภาวะความดันสูงในหลอดเลือดดำ (ของเครือข่ายหลอดเลือดดังกล่าว) จากเหตุปัจจัยต่าง ๆ อาทิ

    การเบ่งถ่ายอุจจาระหรือนั่งถ่ายอุจจาระนาน ๆ 
    อาการท้องผูก หรือท้องเดินเรื้อรัง
    การนั่งนาน ๆ หรือยกของหนัก
    การกินอาหารที่มีกากใยน้อย
    การขาดการออกกำลังกาย
    การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
    น้ำหนักมาก หรือภาวะอ้วน
    ภาวะตั้งครรภ์
    ไอเรื้อรัง

นอกจากนี้ ยังอาจพบร่วมกับโรคในช่องท้อง เช่น ตับแข็ง (ทำให้มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำตับสูง ซึ่งส่งผลกระทบมาที่หลอดเลือดดำที่ทวารหนัก) โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel disease) ก้อนเนื้องอกในท้อง (เช่น เนื้องอกมดลูก เนื้องอกหรือถุงน้ำรังไข่) ท้องมาน (ภาวะท้องบวมน้ำ) มะเร็งลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น

บางคนอาจมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคนี้

บางคนอาจเกิดโรคนี้โดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจนก็ได้

อาการ

ส่วนมากจะมีอาการเลือดออกทางทวารหนัก เป็นเลือดแดงสด เกิดขึ้นขณะเบ่งถ่ายหรือหลังถ่ายอุจจาระ อาจสังเกตมีเลือดเปื้อนกระดาษชำระ หรือเคลือบที่ผิวอุจจาระ หรือมีเลือดไหลออกเป็นหยดลงโถส้วม เลือดที่ออกจะไม่ปะปนกับอุจจาระและไม่มีมูกร่วมด้วย แต่ละครั้งเลือดออกไม่มากและหยุดได้เอง โดยไม่มีอาการเจ็บปวด เมื่อถ่ายครั้งใหม่ก็จะมีเลือดออกได้อีก ส่วนใหญ่มักมีอาการถ่ายเป็นเลือดอยู่ 2-3 วัน แล้วหายไปเอง

สำหรับริดสีดวงทวารภายนอก อาจมีอาการระคายเคืองหรือคันรอบ ๆ ปากทวารหนัก หรืออาจคลำพบติ่งเนื้อนิ่ม ๆ ที่ขอบทวารหนัก ในรายที่มีลิ่มเลือดอุดตันแทรกซ้อนจะมีอาการปวดรุนแรง และคลำได้ก้อนแข็งที่บริเวณทวารหนัก

สำหรับริดสีดวงทวารภายใน ในระยะแรกมักตรวจไม่พบหัวริดสีดวง ต่อเมื่อเป็นระยะที่มีหัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนัก จะพบว่ามีก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ยื่นออกมานอกขอบทวารหนักขณะถ่ายอุจจาระ ซึ่งมักเลื่อนกลับเข้าไปได้เองเมื่อหยุดเบ่งถ่าย หรือใช้มือดันกลับเข้าไปได้ แต่ถ้ายื่นออกมานอกทวารหนักตลอดเวลา ไม่สามารถเลื่อนกลับเข้าไปได้ อาจทำให้รู้สึกปวด 

ถ้ามีเลือดออกมากหรือเรื้อรัง อาจมีอาการอ่อนเพลียและซีดได้

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่แม้ว่าจะมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย แต่มักไม่มีภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่ปล่อยให้มีอาการเรื้อรัง อาจมีการเสียเลือดเรื้อรัง เกิดภาวะโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็กได้

นอกจากนี้ ในรายที่เป็นริดสีดวงภายในระยะรุนแรง หัวริดสีดวงอาจยื่นออกมาย้อยที่ปากทวารหนัก ถูกกล้ามเนื้อหูรูดบีบรัด ทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยง เรียกว่า "ริดสีดวงชนิดถูกบีบรัด (strangulated hemorrhoid)" มีอาการเกิดก้อนเจ็บที่ขอบทวารหนัก ซึ่งก้อนจะโตขึ้นเร็วใน 24 ชั่วโมงแรก และรู้สึกเจ็บมากในระยะ 5-7 วันแรก มักมีน้ำเมือกและเลือดซึม และถ่ายลำบาก อาการจะค่อยทุเลา หายเป็นปกติประมาณ 2 สัปดาห์ไปแล้ว ผู้ป่วยอาจมีประวัติว่าเคยเป็นริดสีดวงมาก่อนหรือไม่ก็ได้

ส่วนโรคริดสีดวงภายนอก อาจเกิดลิ่มเลือดขึ้นในหัวริดสีดวง เรียกว่า "ริดสีดวงทวารชนิดมีลิ่มเลือดอุดตัน (thrombosed hemorrhoid)" ทำให้ริดสีดวงเกิดการอักเสบ บวม มีอาการปวดรุนแรงขณะนั่ง เดิน และถ่ายอุจจาระ และคลำได้ก้อนแข็งที่บริเวณทวารหนัก ผู้ป่วยจะมีอาการปวดมากใน 24-48 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นลิ่มเลือดจะค่อย ๆ ถูกดูดซึมไป อาการจะค่อย ๆ ทุเลา และอาจหายเป็นปกติได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์ หลังหายแล้วอาจพบเนื้อเยื่อบริเวณนั้นกลายเป็นติ่งหนัง (skin tag)   

ผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวบางรายอาจมีอาการรุนแรงจนต้องรีบไปให้แพทย์รักษา

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย รวมทั้งการตรวจทวารหนัก

ในรายที่มีอาการเล็กน้อย อาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นริดสีดวงทวารภายใน ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในลำไส้ใหญ่

บางรายอาจตรวจพบก้อนหรือติ่งหนัง (skin tag) ที่ขอบทวารหนัก หรือก้อนเนื้อนิ่มที่ยื่นโผล่ออกมาที่ปากทวารหนัก

หากยังวินิจฉัยได้ไม่ชัดเจน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนอายุมากกว่า 40 ปี หรือมีอาการเรื้อรัง) หรือสงสัยมีความผิดปกติอื่นในลำไส้ใหญ่หรือช่องท้อง หรือมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (anoscopy/proctoscopy/sigmoidoscopy/colonoscopy) ตรวจเลือด อุจจาระ ปัสสาวะ การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรืออัลตราซาวนด์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่มีอาการเล็กน้อย คือมีเลือดออกเล็กน้อยขณะเบ่งถ่ายหรือหลังถ่ายอุจจาระ ไม่มีอาการเจ็บปวด แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการ เวลาถ่ายอุจจาระพยายามไม่เบ่งแรง และไม่นั่งถ่ายนาน ๆ อย่านั่งนาน ๆ และไม่ยกของหนัก

ถ้าจำเป็นอาจให้การรักษาอาการท้องผูกหรือท้องเดินที่เป็นสาเหตุที่ทำให้อาการกำเริบ

สำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูก แนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวเพื่อให้อุจจาระนุ่มและถ่ายง่าย (ดูหัวข้อ "การดูแลตนเอง" ด้านล่าง)

2. ถ้ามีอาการปวดริดสีดวงทวารเนื่องจากมีการอักเสบ แนะนำให้ผู้ป่วยนั่งแช่ในน้ำอุ่นจัด ๆ (ขนาดร้อนพอทน หรือประมาณ 40 องศาเซลเซียส) วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 15-20 นาที แล้วใช้ผ้านุ่ม ๆ ซับให้แห้ง

ถ้าปวดมากให้ยาแก้ปวด-พาราเซตามอล หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก) ควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดที่เข้าสารฝิ่นหรืออนุพันธ์ของฝิ่น เพราะอาจทำให้ท้องผูก นอกจากนี้อาจใช้ยาชาชนิดเจล (ที่มีตัวยา lidocaine) ทาระงับปวด

นอกจากนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาเหน็บริดสีดวงทวาร หรือยาทาที่มีตัวยาสเตียรอยด์ผสมกับยาชา (เช่น ยาที่มีชื่อการค้าว่า "Proctosedyl" "Doproct" "Scheriproct N" ชนิดเหน็บทวาร หรือชนิดขี้ผึ้ง/ครีมสำหรับใช้ทา วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และหลังถ่ายอุจจาระ) เพื่อลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวดและคัน (จะหยุดใช้เมื่ออาการทุเลาแล้ว จะไม่ใช้นานเกิน 1 สัปดาห์ เพราะจะทำให้ผิวบาง)

3. ถ้ามีภาวะซีดจากการเสียเลือดเรื้อรัง ให้ยาบำรุงโลหิต

4. ถ้าหัวริดสีดวงหลุดออกมาข้างนอก แพทย์จะใส่ถุงมือใช้ปลายนิ้วชุบสบู่ให้หล่อลื่น แล้วดันหัวกลับเข้าไป

5. ถ้าริดสีดวงภายนอกมีลิ่มเลือดอุดตัน มีอาการปวดรุนแรง แพทย์จะทำการกรีดเอาลิ่มเลือดออกไป ซึ่งจะช่วยให้ทุเลาปวดได้ทันที (จะได้ผลดีภายใน 72 ชั่วโมงหลังเกิดลิ่มเลือด) หลังจากนั้นแนะนำให้ผู้ป่วยแช่น้ำอุ่นจัด ๆ และใช้ยาทาหรือยาเหน็บริดสีดวงทวาร 

6. ถ้าให้การรักษาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผล มีอาการปวดมาก หรือมีเลือดออกเรื้อรัง หรือมีหัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนักบ่อยหรือดันกลับเข้าไปไม่ได้ แพทย์อาจทำการรักษาด้วย "หัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด" วิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้

    การใช้ยางรัด (rubber band ligation) รัดรอบ ๆ หัวริดสีดวงภายใน ทำให้เลือดไปเลี้ยงไม่ได้ หัวริดสีดวงก็จะเหี่ยวแห้งและหลุดออกเองภายใน 1 สัปดาห์ วิธีนี้มีอัตราการหายขาดค่อนข้างสูง แต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น อาการปวดถ่วงในทวารหนัก เลือดออก (ไม่มากและหยุดเองได้) หัวริดสีดวงอักเสบ (บวม เจ็บ) และย้อยออกมาได้ 
    การฉีดสารก่อกระด้าง (sclerotherapy) เข้าที่หัวริดสีดวง ทำให้ริดสีดวงฝ่อไป วิธีนี้ใช้ได้ผลดี เหมาะสำหรับริดสีดวงภายในระยะที่ 1 และ 2 มีความสะดวก ปลอดภัย ไม่มีความเจ็บปวด แต่มีอัตราการหายขาดน้อยกว่าการใช้ยางรัด
    การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ อินฟราเรด หรือความร้อน (laser, infrared or bipolar photocoagulation) ทำให้หัวริดสีดวงแข็งและยุบลง วิธีนี้ใช้สำหรับรักษาริดสีดวงภายในที่มีขนาดเล็กและกลาง มีผลข้างเคียงน้อย แต่มีอัตราการกำเริบใหม่มากกว่าการใช้ยางรัด


7. ถ้าเป็นมาก มีภาวะแทรกซ้อน หรือรักษาด้วยยาและหัตถการต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล แพทย์ก็จะรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งมีให้เลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้

    การผ่าตัดเอาหัวริดสีดวงออก (hemorrhoidectomy) ซึ่งเป็นการผ่าตัดแบบดั้งเดิม โดยเลาะเอาเนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นริดสีดวงทวารออก วิธีนี้ให้ผลการรักษาดี มีโอกาสในการกลับมากำเริบใหม่น้อย แต่อาจมีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดภาวะปัสสาวะคั่ง (ถ่ายปัสสาวะไม่ออก) และการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้
    การผ่าตัดโดยใช้เครื่องมือเย็บติด (stapled hemorrhoidectomy/stapled hemorrhoidopexy) เป็นการใช้เครื่องมือคล้ายเครื่องยิงลวดทำการตัด เย็บ และผูกหัวริดสีดวง ปิดกั้นเลือดที่จะไปเลี้ยงบริเวณที่เป็นริดสีดวงทวาร ทำให้หัวริดสีดวงเกิดการฝ่อและหลุดไป วิธีนี้เหมาะสำหรับการรักษาริดสีดวงทวารภายในเท่านั้น วิธีนี้ทำให้เกิดการเจ็บปวดน้อยกว่า และฟื้นตัวได้เร็วกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม แต่มีความเสี่ยงต่อการกำเริบใหม่ และภาวะไส้ตรงยื่นย้อย (rectal prolapse) มากกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม และอาจเกิดผลแทรกซ้อน เช่น เลือดออก ปัสสาวะไม่ออก เกิดการติดเชื้อ เป็นต้น

ผลการรักษา ผู้ที่มีอาการเล็กน้อยซึ่งพบได้เป็นส่วนใหญ่ สามารถให้การรักษาตามอาการ ทำให้อาการทุเลาได้ แต่มีโอกาสกลับมากำเริบเป็นครั้งคราวเวลาท้องผูกหรือท้องเดิน

ในรายที่มีความจำเป็นต้องรักษาด้วยหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด (เช่น การใช้ยางรัด) มีโอกาสกำเริบใหม่ภายใน 5-10 ปี ถึงร้อยละ 30-50 ส่วนในรายที่รักษาด้วยการผ่าตัดมีโอกาสกำเริบใหม่น้อยกว่าร้อยละ 5

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ถ่ายอุจจาระออกเป็นเลือดสด มีอาการคันหรือเจ็บที่ทวารหนัก มีก้อนยื่นออกมาที่ปากทวารหนักตอนถ่ายอุจจาระ หรือคลำพบก้อนที่ปากทวารหนัก ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นริดสีดวงทวาร  ควรดูแลตนเองดังนี้

    รักษาและใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์
    เวลาถ่ายอุจจาระอย่านั่งนาน และไม่เบ่งแรง (ผ่อนแรงเบ่งด้วยการอ้าปากและค่อย ๆ หายใจออกทางปาก)
    ไม่นั่งนาน ๆ และไม่ยกของหนัก
    ถ้ามีอาการท้องผูก ควรปฏิบัติดังนี้

- ดื่มน้ำมาก ๆ วันละประมาณ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร) 
- กินอาหารที่มีกากใยสูง (ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง ธัญพืช) ให้มาก ๆ
- งดดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ท้องผูกได้
- ออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนัก (ภาวะน้ำหนักเกินมีผลต่อการกำเริบของโรค) และป้องกันท้องผูก
- ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาทุกวัน และอย่าอั้นถ่ายเวลามีอาการปวดถ่ายอุจจาระ
- กินสารเพิ่มกากใย และ/หรือยาระบายตามคำแนะนำของแพทย์

   
ถ้าปวดริดสีดวงทวาร นั่งแช่น้ำอุ่น ใช้ยาแก้ปวด และใช้ยาเหน็บหรือยาทาริดสีดวงทวารตามคำแนะนำของแพทย์

ควรกลับไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีเลือดออกมาก มีภาวะซีด รู้สึกอ่อนเพลียมาก หรือเวลาลุกนั่งมีอาการหน้ามืดจะเป็นลม
    มีอาการปวดริดสีดวงมาก
    หัวริดสีดวงยื่นออกมาที่ปากทวารหนัก และไม่เลื่อนกลับเข้าไปได้เอง
    น้ำหนักลด ปวดท้องบ่อย ท้องผูกเรื้อรัง ท้องเดินเรื้อรัง หรือมีอาการท้องผูกสลับท้องเดิน
    มีอาการถ่ายเป็นเลือดนานเกิน 1 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีประวัติกินยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน โคลพิโดเกรล ) หรือสารกันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น วาร์ฟาริน)
    มีความวิตกกังวล
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปใช้ที่บ้าน ถ้าใช้ยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หน้ามืด หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ หรือช่วยป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ ควรระวังอย่าให้ท้องผูก และลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดอาการ ดังนี้

    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดน้ำหนักถ้าอ้วนหรือน้ำหนักเกิน
    กินอาหารที่มีกากใยมาก (เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง ธัญพืช) กรณีที่กินอาหารประเภทนี้ไม่มากพอ ให้กินสารเพิ่มกากใยเสริม 
    ดื่มน้ำมาก ๆ วันละประมาณ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร) 
    ออกกำลังกายเป็นประจำ 
    ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาทุกวัน และอย่าอั้นถ่ายเวลามีอาการปวดถ่ายอุจจาระ
    เวลาถ่ายอุจจาระอย่านั่งนาน (เช่น นั่งอ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์มือถือ) และไม่เบ่งแรง
    หลีกเลี่ยงการนั่งนาน ๆ และไม่ยกของหนัก

ข้อแนะนำ

1. อาการถ่ายเป็นเลือดแม้ว่าส่วนใหญ่จะเกิดจากแผลปริที่ขอบทวารหนักและริดสีดวงทวาร และสามารถให้การดูแลรักษาตนเองตามคำแนะนำของแพทย์ได้ แต่ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ร้ายแรงได้ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel disease) ดังนั้น ถ้ามีอาการผิดแปลกไปจากอาการริดสีดวงที่เคยเป็น หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมกับอาการถ่ายเป็นเลือด (เช่น มีเลือดออกมากหรือเรื้อรัง มีอาการอ่อนเพลีย ท้องเดินเรื้อรัง หรือน้ำหนักลด) หรือพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี หรือมีประวัติโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้ชัดเจน

2. ผู้ที่มีอาการถ่ายเป็นเลือดจากริดสีดวงทวาร ซึ่งมีอาการเล็กน้อย และมีอาการเป็นครั้งคราว อาจคิดว่าไม่เป็นอะไรมาก และอาจมีความอายที่จะไปพบแพทย์ จะลองรักษาตนเอง หรือปล่อยปละละเลย จะไปพบแพทย์ต่อเมื่อเกิดภาวะซีดจากการเสียเลือดเรื้อรัง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา หรือพบว่าเป็นโรคร้ายแรงอื่น ๆ ซึ่งมักมีความยุ่งยากในการรักษา ดังนั้นควรแนะนำให้คนทั่วไปมีความตระหนักรู้ในเรื่องอาการถ่ายเป็นเลือด และการดูแลรักษาที่ถูกต้อง

3. ผู้ที่มีประวัติกินยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน โคลพิโดเกรล) หรือสารกันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น วาร์ฟาริน) ซึ่งใช้รักษาและป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด หากมีอาการถ่ายเป็นเลือด อาจมีเลือดออกรุนแรงได้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อปรับยาให้เหมาะสม

8
โรคความดันโลหิตสูง ลดด้วย 10 เมนูอาหารสุขภาพ

โรคความดันโลหิตสูง ​นั้นเป็นโรคที่อันตรายมากโรคหนึ่ง​ เนื่องจาก​ในช่วงแรกผู้ป่วยมักจะไม่ค่อยมีอาการใด ๆ​ กว่าจะรู้ตัวก็เกิดภาวะแทรกซ้อน​ที่รุนแรงอื่น ๆ​ ตามมาเสียแล้ว ความดันโลหิตสูง นับเป็นปัญหาเรื้อรังของระบบสาธารณสุขทั่วโลก​ รวมถึงประเทศไทย​ด้วย​ เนื่องจาก​สถานการณ์​โรคความดันโลหิตสูง​จะสืบเนื่อง​กับ​อายุ​ เมื่ออายุ​เพิ่มมากขึ้นก็มีความเสี่ยง​ที่จะเป็น​โรคความดันโลหิตสูง​มากขึ้นด้วยเช่นกัน​


โรค ความดันโลหิตสูง คือ ?

ความดันโลหิตสูงคือค่าความดันภายในหลอดเลือดแดง ซึ่งเกิดจากการบีบตัวของหัวใจเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ​ ของ​ร่างกาย​ โดยจะวัดได้​ 2 ค่า​ ได้แก่

– ค่าความดันโลหิตตัวบน​: เป็นค่าความดันเลือดในขณะที่หัวใจบีบตัว

– ค่าความดันโลหิต​ตัวล่าง​: เป็นค่าความดันเลือดในขณะที่หัวใจคลายตัว

สำหรับภาวะความดันโลหิตสูง​นั้น​ ค่าที่วัดได้จะมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตร​ปรอท​ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ​ ตามมาได้​ เช่น​ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง​ หรือไตวาย​ เป็นต้น

วิธีการ​รับประทานอาหารที่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรค​ ความดัน​โลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูงมักจะเกิดขึ้นมากในผู้สูงอายุ และถือว่าเป็นโรคเรื้อรัง​ ต้องดูแลรักษาตัวเองอย่างดี​ และสำหรับ​ในเมืองไทยเราถือว่า มีผู้ป่วยโรค ความดัน โลหิตสูง เป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นการดูแลเรื่องของอาหารการรับประทาน หรือโภชนาการถือว่ามีส่วนสำคัญมาก ๆ เรามาลองดูกันดีกว่า​ว่า​ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง​นั้นควรรับประทานอาหา​รอย่างไร

หลักการบริโภคอาหารเพื่อป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หรือ DASHDiet (Dietary Approaches to Stop Hypertension Diet)

หลักการสำคัญของการรับประทานอาหารแบบ DASH คือ ลดการบริโภคอาหารที่มีเกลือโซเดียม ไขมันอิ่มตัว ไขมันรวมและคอเลสเตอรอลลง และเพิ่มการรับประทานใยอาหาร โปรตีน แคลเซียม แร่ธาตุต่าง ๆ อย่าง โปแตสเซียมและแมกนีเซียม ที่มีผลการศึกษาถึงการลดความดันโลหิตสูงได้

สัดส่วนการรับประทานอาหารตามหลัก DASH

สำหรับสัดส่วน​การรับประทาน​อาหาร​ตามหลัก DASH ใน 1 วัน จะประกอบด้วย

    ธัญพืชชนิดต่าง ๆ โดยเน้นเป็นธัญพืชไม่ขัดสี 7-8 ส่วนบริโภค (หรือประมาณ 7-8 ทัพพี) เพื่อเพิ่มการรับประทานใยอาหารที่ช่วยการขับถ่ายและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง
    ผักและผลไม้อย่างละ 4-5 ส่วนบริโภค (หรือผักประมาณ 4-5 ทัพพี และผลไม้ 3 ส่วน) เพิ่มการรับประทานใยอาหาร วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของร่างกาย โดยเน้นรับประทานผักและผลไม้สด หลีกเลี่ยงผักและผลไม้กระป๋องหรือผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ
    เนื้อสัตว์ไขมันต่ำอย่างเนื้อปลา 2-3 ส่วนบริโภค (หรือประมาณ 4-6 ช้อนกินข้าว) รับประทานเนื้อแดงในปริมาณเหมาะสม การตัดส่วนไขมันหรือหนังของเนื้อสัตว์และเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ไขมันต่ำจะช่วยลดการบริโภคไขมัน นอกจากนี้การเพิ่มการรับประทานเนื้อปลาจะช่วยเพิ่มการบริโภคกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยลดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ และต้านการอักเสบ ซึ่งก็จะช่วยดูแลหลอดเลือดและบำรุงหัวใจได้อีกด้วย
    น้ำมันหรือไขมัน 2-3 ส่วนบริโภค (หรือไม่เกิน 6 ช้อนชา) การรับประทานไขมันที่มากเกินไปก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นไขมันยังเป็นสารอาหารจำเป็นที่ช่วยให้การดูดซึมวิตามินชนิดที่ละลายน้ำ รวมถึงเป็นแหล่งของกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย
    ถั่วเปลือกแข็งชนิดต่าง ๆ เช่น อัลมอนด์ ถั่วลิสง เนื่องจากถั่วชนิดต่าง ๆ มีกรดไขมันชนิดที่ดีอยู่ ทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3, 6, 9 แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป แม้ว่าจะเป็นแหล่งของไขมันที่ดี แต่เนื่องจากมีพลังงานที่สูง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายและไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ควรรับประทานประมาณ 30 กรัมหรือ 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน

สำหรับ​การรับประทาน​อาหาร​ตามหลัก DASH​ นี้แนะนำให้ใช้เครื่องเทศหรือสมุนไพรต่าง ๆ​ ในการเสริมรสชาติอาหาร และลดการใช้เกลือหรือเครื่องปรุงที่มีโซเดียมสูงในการปรุงแต่งอาหาร

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้อาหารตามแบบ DASH Diet ได้รับการแนะนำจากสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (american heart association) ให้เป็นแนวทางในการควบคุมโรคความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่รวบรวมประมวลผลอย่างเป็นระบบ (systematic review with meta-analysis) ยืนยันผลของการรับประทานอาหารแบบ DASH Diet ในผู้เข้าร่วมกว่า 2000 คน ผู้ที่รับประทานอาหารตามแบบ DASH Diet เป็นระยะเวลา 2-24 สัปดาห์ ถึงผลการลดลงของความดันโลหิต คอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอลชนิด LDL อย่างมีนัยสำคัญ และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจใน 10 ปีข้างหน้า ได้ถึงร้อยละ 13

10 อาหารที่เหมาะกับ​ผู้ป่วยโรค ความดัน​โลหิต​สูง ​ตามหลัก​ DASH​ Diet​

1.ข้าวแป้งที่ไม่ขัดสี

รับประทาน ข้าวแป้งที่ไม่ขัดสี ประมาณ 7-8 ทัพพี เพื่อเพิ่มใยอาหารในการขับถ่าย และโรคเรื้อรัง


2.เนื้อสัตว์​ไขมันต่ำ

รับประทานเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ​ เช่น​ เนื้อแดงที่ไม่ติดมันหรือไม่ติดหนังเพื่อลดการบริโภคไขมัน​​ และเพิ่มการรับประทานเนื้อปลาเพื่อให้ได้รับโอเมก้า 3​ เพื่อช่วยในการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันการอักเสบ และมีส่วนช่วยในการบำรุงหลอดเลือด


3. ผัก ผลไม้ สด

เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้สด​ 4-5 ทัพพี​​ โดยเน้นการรับประทานผักผลไม้สด​ ที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งเป็นหลัก​ เพื่อเพิ่มใยอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ หลีกเลี่ยงผลไม้กระป๋องและแปรรูป


4. ไขมันดี

รับประทานน้ำมันหรือไขมันในปริมาณ​ ไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน โดยเน้นรับประทานอาหารที่เป็นไขมันดี เพื่อให้ร่างกาย​ได้รับปริมาณไขมันที่เพียงพอ​ และช่วยในการดูดซึมวิตามินชนิดละลายน้ำ


5. ถั่ว​และ​ธัญพืช

เน้นรับประทานธัญพืช​และถั่วเปลือกแข็งชนิดต่าง ​ๆ​ เช่น​ อัลมอนด์​ ถั่วลิสง​ เป็น​ต้น​ เพื่อให้ได้ไขมัน​ที่ดี​ แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไปเนื่องจาก​ถั่วเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง​ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรรับประทาน​เกินวันละ 30 กรัม​ หรือวันละ 2​ ช้อนโต๊ะ​


6. กระเจี๊ยบ​แดง

จากผลวิจัยพบว่ากระเจี๊ยบ​แดงสามารถช่วยลด โรคความดันโลหิต ได้​ เนื่องจากมีสาร​แอนโทไซยานินที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือด


7. ขึ้นฉ่าย

มีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่าขึ้นฉ่ายมีฤทธิ์ลดความดันโลหิต​ ขับปัสสาวะ​ ลดบวม ควบคุมน้ำตาล​ ลดไขมัน​และต้านการอักเสบได้


8.​ กระเทียม

กระเทียม​เป็นพืชผักสวนครัวที่ต้องมีติดครัวกันทุกบ้าน​ นอกจากรสเผ็ดร้อนที่ช่วยเสริมรสชาติ​อาหาร​แล้ว​ ในกระเทียม​ยังมีสารเคมีที่สำคัญก็คือ​ Allicin​ ที่ช่วยลดความดันโลหิตและไขมันในเลือดได้ด้วย


9. ตะไคร้

เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่หลายคนนิยมนำมาทำอาหาร​ เนื่องด้วยสรรพคุณ​ที่หลากหลาย​ทั้งช่วยในเรื่องการขับปัสสาวะ ขับลม​และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย​แล้ว​ ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการลดความดันโลหิตสูงได้ดีทีเดียว
ความดันโลหิตสูง,โรคความดันโลหิตสูง


10. ฟ้าทะลาย​โจร​

สมุนไพรยอดฮิตที่มากด้วยสรรพคุณทางยา​ ซึ่งจากงานวิจัยพบว่าสารในฟ้าทะลายโจรนั้นฤทธิ์ในการลดความดันโลหิต ช่วยในการขยายตัวของหลอดเลือด และลดอัตราการเต้นของหัวใจไม่ให้เร็วจนเกินไป​ด้วย


7 วิธีการรักษาโรค ความดันโลหิตสูง ในผู้สูงอายุด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

การรักษาโรคความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามแนวทางการรักษาโรคความดันโลหิตสูงในเวชปฏิบัติทั่วไป มีรายละเอียดดังนี้

    ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือใกล้เคียงปกติ
    ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ในแต่ละวันอาจจะแบ่งออกกำลังเป็นช่วงสั้น ๆ ครั้งละ 10 นาที วันละ 3 ครั้ง
    การจำกัดโซเดียมในอาหาร ควรบริโภคไม่เกิน 2300 มิลลิกรัม ต่อวัน สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ทั้งในผู้ป่วยที่มีความดันและไม่มีโรคความดันโลหิตสูง
    การรับประทานอาหารตามแนวทาง DASH Diet
    การจำกัดหรืองดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    การหยุดบุหรี่ การเลิกบุหรี่อาจไม่มีผลต่อการลดความดันโลหิตโดยตรง แต่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
    การลดความเครียด รวมถึงการผ่อนคลายความเครียด และลดการวิตกกังวล


สรุป

อาหารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยในเรื่องของ โรคความดันโลหิตสูง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต หมายถึง การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันไปสู่การบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการ และมีกิจกรรมทางกายที่เหมาะสม ร่วมกับพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เช่น งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น

โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตให้ได้ในระยะยาวถือเป็นหัวใจสำคัญของหารป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และยังเป็นการรักษาพื้นฐานสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตทุกรายไม่ว่าผู้ป่วยจะมีข้อบ่งชี้ในการใช้ยาหรือไม่ก็ตาม ในกรณีที่ผู้ป่วยต้องใช้ยาความดันโลหิตร่วมด้วย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาด้วยยาสูงขึ้น

9
มอเตอร์ไซด์ใหม่ 2025 ยามาฮ่า Yamaha Exciter 155 VVA ปี 2025
79,500 บาท

ยามาฮ่า Yamaha Exciter 155 VVA ปี 2025
Yamaha Exciter 155 สัมผัสประสบการณ์ความแรง ที่ความเร้าใจฝังลึกอยู่ใน R-DNA ท้าทายไปให้สุดกับ 3 สีใหม่ สีเทา-เขียว Mat Silver, สีแดง-เทา Vivid Red, สีน้ำเงิน GP Blue ลวดลายกราฟิกใหม่บนตัวรถที่โดดเด่น เสริมลุคให้ดูสปอร์ต พร้อมความคุ้มค่าด้วยการรับประกันนานถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์              Yamaha
   รุ่น                    ยามาฮ่า Yamaha Exciter 155 VVA ปี 2025
   ประเภทรถ         รถครอบครัวกึ่งสปอร์ต
   ปีที่เปิดตัว          2025
   ราคา                 79,500 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์                  เกียร์ธรรมดา
   ระบบเกียร์                     แบบเฟืองขบกันคงที่ สปอร์ต 6 ระดับ
   รายละเอียดเครื่องยนต์      4 จังหวะ 4 วาล์ว สูบเดี่ยว SOHC
   ระบบระบายความร้อน       น้ำ
   ระบบสตาร์ท                    สตาร์ทไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)      155 CC
   แบบเครื่องยนต์                 4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด                 T.C.I.
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง      เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), แก๊สโซฮอล์ 91, แก๊สโซฮอล์ E20, เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน                หัวฉีด
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)        5.4 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน             ล้อหน้า เทเลสโคปิค, ล้อหลัง โช้คอัพหลังเดี่ยว ทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม
   ระบบเบรค                     ล้อหน้า ดิสก์เบรก (เดี่ยว แม่ปั๊มล่าง 2 ลูกสูบ พร้อมระบบ ABS), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (เดี่ยว)
   แบบวงล้อ                      แม็ก
   ขนาดยาง                       ล้อหน้า 90/80-17M/C 46P, ล้อหลัง 120/70-17M/C 58P
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)            1,975 x 665 x 1,105 ความสูงเบาะ 795
   น้ำหนักตัวรถ                               123.00 กก.

10
บริหารจัดการอาคาร: อากาศร้อนทำให้แอร์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติจริงหรือ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ประเทศไทยของเรานั้น เป็นประเทศที่มีอากาศร้อนอบอ้าวมาก ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่มักจะชื่นชอบอากาศเย็นมากกว่าอากาศร้อนอย่างแน่นอน
ทำให้หลายบ้านจำเป็นต้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เพื่อคลายร้อน แต่ก็ต้องแลกกับการที่เราจะต้องมานั่งเสียค่าไฟ เสียค่าใช้งานจากการที่เราใช้แอร์ ซึ่งแอร์ ถือว่าเป้นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟเปลืองมากที่สุด และยิ่งต้องมาสู้กับสภาพอากาศบ้านเราแล้วด้วย ต้องบอกเลยว่า ต้องจ่ายค่าไฟมหาศาลเลยในแต่ละเดือน แต่ก็ยังมีเทคนิคหลายอย่างในการใช้งานแอร์ที่จะทำให้เราสามารถประหยัดไฟไปได้เยอะ นั่นก็คือ การล้างทำความะสอาดแอร์ รวมไปถึงปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น การติดตั้งแอร์ในตำแหน่งที่เหมาะสม หรือการเลือกซื้อแอร์ที่มีค่า BTU เหมาะสมกับขนาดห้องปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการทำงานของแอร์ทั้งสิ้น

ดังกล่าวหากคิดที่จะติดตั้งแอร์หรือเครื่องปรับอากาศแล้วก็ต้องปรึกษาช่างหรือศึกษารายละเอียดให้ดี ดีกว่าต้องมาแก้ไขปัญหาทีหลัง ซึ่งจะยิ่งทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มไปอีก

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นปัจจัยที่เราสามารถเลือกและควบคุมได้ ในการที่เราจะทำให้แอร์ของเราสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและช่วยบำรุงรักษาให้เราใช้แอร์ไปได้ยาวๆ โดยไม่เสื่อสภาพก่อนถึงเวลาอันควร แต่ก็ยังมีอีกหลายๆปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้นั่นก็คือ สภาพอากาศที่ร้อนมากๆนั่นเอง

หลายคนก็เกิดความสงสัยว่าจริงๆแล้ว อากาศที่ร้อนมากๆ จะทำให้แอร์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติหรือไม่ วันนี้ทางเราจะมาพูดถึงประเด็นดังกล่าวเพื่อให้ความรู้กับพ่อบ้านแม่บ้านกันเพื่อเป็นแนวทางในการใช้งานแอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

โดยปกติแล้ว สภาพอากาศมีส่วนต่อการทำงานของแอร์ แต่ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้แอร์เกิดการเสื่อมสภาพเร็วหรือเกิดการเสียหายได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ เครื่องมือ และสภาพแวดล้อมหรือปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เครื่องปรับอากาศนั้นมีอายุการทำงานได้สั้นลง ทั้งนี้อากาศร้อนของเมืองไทยนั้นก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เครื่องปรับอากาศนั้นเสื่อมสภาพลง เช่น คอมเพรสเซอร์แอร์นั้นติดตั้งในฝั่งที่มีแสงแดดส่องถึงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีร่มบังแดดบังฝนอาจจะทำให้เครื่องปรับอากาศร้อนขึ้นได้ง่าย ซึ่งควรที่จะทำพื้นที่ในการบังแดดเพื่อที่จะยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศและมีอากาศเย็นๆ ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลาทุกครั้งที่เปิด

หากต้องการยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น ก็ควรติดตั้งคอมเพรสเซอร์แอร์ห่างจากผนังบ้านประมาณ 10 cm และบริเวณหน้าคอมเพรสเซอร์ไม่ควรมีสิ่งใดมาบดบัง ประมาณ 60 – 80 cm จัดวางในตำแหน่งไม่โดนฝนสาดง่าย ไม่โดนแสงแดดโดยตรงตลอดทั้งวัน กรณีวางบนพื้นระเบียง ควรให้สูงกว่าพื้นประมาณ 10 cm เพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง

ดังนั้น อาจจะต้องรักษาสภาพของคอมเพรสเซอร์ให้ดีสมบูรณ์อยู่เสมอก็จะทำให้ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำงานได้เต็มที่
หรือ ผลกระทบที่ส่งผลมากที่สุดคือความร้อนแรงของแสงแดด หากห้องที่ติดแอร์มีผนังที่ค่อนข้างบาง ก็สามารถทำให้ความร้อนจากแสงแดดเข้ามาสู่ภายในได้ หากผนังบ้านมีความบาง ควรที่จะหาวัสดุกันความร้อนหรือทาสีกันความร้อนเพื่อบรรเทาความร้อนของบ้านได้ส่วนหนึ่ง และทำให้เครื่องปรับอากาศของคุณทำงานได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ความร้อนถึงแม้ว่าจะมีส่วนที่ทำให้แอร์เสื่อมสภาพเร็ว แต่ถ้าหากเราเลือกแอร์ที่มี BTU ที่เหมาะสมกับห้อง ก็อาจจะสามารถช่วยได้

ทั้งนี้เราอยากให้ทุกคนได้เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหมาะสม  หรือก่อนติดตั้งควรดูจากหลายปัจจัยที่จะทำให้แอร์ของเรามีอายุการใช้งานที่นานขึ้น ถ้ามีข้อสงสัยหรืออยากปรึกษาเกี่ยวกับการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ไม่ว่าจะเป็นในอาคาร สำนักงาน หรือในบ้าน ก็สามารถปรึกษาเราได้ ทางเรามีบริการดูแลระบบเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร ที่มีคนจำนวนมากเพื่อที่จะได้สามารถใช้งานเครื่องปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราถือว่า
ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะใช้ชีวิตในภายในอาคาร นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์และสะอาดเข้าไป ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สดชื่น สบายมากยิ่งขึ้น

11
คำถามยอดนิยม การจัดฟันเด็ก แพงหรือไม่ ?

การเข้ารับการจัดฟัน เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างฟัน และลักษณะของฟันที่มีการขึ้นแบบผิดปกติจะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ยากขึ้น เช่นเดียวกันกับเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันก็จะทำให้รู้สึกไม่มั่นใจและรับประทานอาหารได้ไม่เต็มที่ ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมในวัยเด็กที่ส่งผลทำให้การขึ้นของฟันแท้มีความผิดปกติบวกกับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร

เนื่องจากเด็กมักชอบรับประทานอาหารที่มีรสหวานหรือเครื่องดื่มที่มี ส่วนผสมของน้ำตาลเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย ดังนั้น การทำความสะอาดช่องปากและฟันของเด็ก ถือเป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรช่วยกันดูแลให้บุตรหลานของท่านรู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกวิธีตั้งแต่อายุยังน้อยหรือตั้งแต่ยังมีฟันน้ำนม ซึ่งฟันน้ำนมนั้น เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการขึ้นของฟันแท้ เพราะฉะนั้น การดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อยของท่าน ควรได้รับการดูแลตั้งแต่ช่วงฟันน้ำนมเพราะถ้าหากเด็กได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันก็จะทำให้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ป้องกันการเกิดฟันผุและโรคเหงือกอักเสบที่อาจจะตามมาได้ในอนาคต  ในปัจจุบัน


พ่อแม่ผู้ปกครองเริ่มหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพฟันของเด็กประกอบกับได้มีการจัดฟันในเด็กซึ่งถือเป็นนวัตกรรมในวงการทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากเช่นเดียวกัน เพราะสามารถแก้ไขปัญหาฟันของเด็กได้ตั้งแต่อายุ 12 -15 ปี และยังมีการจัดฟันในเด็กที่เรียกว่าการจัดฟัน EF LINE ซึ่งการจัดฟันในรูปแบบนี้สามารถรักษาปัญหาฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปีเลยทีเดียว ซึ่งต้องบอกว่าวงการทันตกรรมของเราในปัจจุบันถือว่า ก้าวหน้าไปมากทำให้ปัญหาต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดมีความสนใจที่จะให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่ก็มีข้อกังวลนั่นก็คือในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการจัดฟันในเด็ก หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าการจัดฟันในเด็กนั้นจะต้อง มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงค่าใช้จ่ายในเรื่องของการจัดฟันในเด็กเพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุดและได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพด้วย


สำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายในการจัดฟันในเด็ก คือสิ่งแรกที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน อยากจะทราบซึ่งในประเทศไทยของเราถ้าจัดฟันในเด็กจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 50,000 บาท แต่ราคาก็จะขึ้นอยู่กับคลินิกทันตกรรมด้วย ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีความแตกต่างกันรวมไปถึงจะขึ้นอยู่กับปัญหาของฟันของเด็กด้วย แต่ในข้อนี้ก็ไม่ต้องกังวลเพราะค่าจัดฟันในเด็กจะเป็นการทยอยจ่ายเช่นเดียวกับการจัดฟันในผู้ใหญ่ แต่การจัดฟันในเด็กก็อาจจะมีรายละเอียดของเครื่องมือบางชนิดที่มีความแตกต่างจากการจัดฟันในผู้ใหญ่ ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากปัญหาในช่องปากและฟันของเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ยิ่งถ้าเด็กบางคนมีปัญหาของขากรรไกรร่วมด้วย การรักษาก็จะยุ่งยากซับซ้อนมากยิ่งขึ้นอาจจะต้องใช้เครื่องมือแบบพิเศษซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าปกตินั่นเอง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน เราสามารถปรึกษากับทางคลินิกได้


สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกของเรา ทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ทางด้านทันตกรรมของเด็กมาอย่างยาวนาน ทั้งยัง มีเจ้าหน้าที่ที่คอยให้คำปรึกษาและแนะนำในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน ซึ่งต้องบอกว่า พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ต้องกังวล เพราะท่านสามารถวางแผนในเรื่องของค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับตัวเองได้ เพราะเราอยากให้เด็กทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง มีรอยยิ้มที่สดใส และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

12
การสร้างอาชีพ จากเมนูปลากะพงราดซอสกะเพราเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบเข้ากับรสชาติที่จัดจ้านของกะเพรา

สูตรอาหารไทยที่ทำง่ายแต่มีรสชาติจัดจ้านปลากะพงราดซอสกะเพราเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ อาหารจานนี้ผสมผสานเนื้อสัมผัสอันละเอียดอ่อนของปลากะพงทอดกรอบเข้ากับรสชาติที่จัดจ้านของกะเพรา กระเทียมและพริกเป็นการนำผัดกะเพราแบบคลาสสิกมาปรุงใหม่ โดยเสิร์ฟบนปลาแทนที่จะเป็นเนื้อสัตว์ตามปกติ ลองทำดูรับรองอร่อย ทำง่าย ได้รสชาติกระเพราเข้มข้นแน่นอน

วัตถุดิบ:
ปลากะพง 1 ตัว (ทำความสะอาดแล้วแล่ หรือใช้เนื้อปลาแทนได้)

ใบกระเพราสด 1 ถ้วย

กระเทียมสับ 4–5 กลีบ

พริกขี้หนูสับ 4–5 เม็ด (ปรับรสตามชอบ)

ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ

ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาล 1 ช้อนชา

น้ำมันสำหรับทอด
คำแนะนำ:
เตรียมปลา
ทำความสะอาดเนื้อปลากะพงและซับให้แห้ง ปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย ทอดในน้ำมันท่วมหรือทอดในกระทะจนหนังปลากรอบและเป็นสีน้ำตาลทอง พักไว้ในจานที่รองด้วยกระดาษเช็ดครัวเพื่อซับน้ำมันส่วนเกินออก

ทำซอสกระเพรา
ในกระทะหรือกระทะใบใหญ่ ใส่น้ำมันเล็กน้อยแล้วผัดกระเทียมและพริกจนมีกลิ่นหอม ใส่ซอสหอยนางรม ซีอิ๊ว น้ำปลา และน้ำตาล คนให้เข้ากัน จากนั้นใส่ใบโหระพาลงไป ผัดสักครู่จนโหระพาสลด

เคล็ดลับ:
ถ้าชอบรสจัดจ้าน สามารถเพิ่มพริกขี้หนูได้ตามชอบ
การใส่ใบกระเพราในขั้นตอนสุดท้ายจะทำให้ใบกระเพรามีสีสวยและไม่เหี่ยวจนเกินไป
สามารถเพิ่มพริกไทยอ่อนลงในซอสกระเพราเพื่อเพิ่มความหอมและเผ็ดร้อนได้

ประกอบอาหาร
ราดซอสโหระพาเผ็ดร้อนลงบนเนื้อปลาทอดกรอบ ตกแต่งด้วยใบโหระพาหรือพริกหั่นแว่นหากต้องการ เสิร์ฟร้อนๆ กับข้าวหอมมะลินึ่ง

ทำไมคุณถึงจะรักมัน
เมนูนี้ใครๆ ก็ชอบ เพราะกรอบ เผ็ด หอม อร่อย ลงตัวสุดๆ ใบกระเพราให้รสชาติเผ็ดเล็กน้อยและหวานเล็กน้อยที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย ส่วนปลากะพงทอดก็ให้ความกรุบกรอบตัดกับซอสรสเข้มข้นได้ดี ที่สำคัญคือปรุงง่าย เหมาะกับมื้อเย็นวันธรรมดาหรือมื้อพิเศษกับเพื่อนๆ

13
วัดพระศรีอารย์สร้างขึ้นในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาเชิญชวนใส่ชุดขาวหญิง ฝึกปฏิบัติพัฒนาจิต เจริญเมตตา

วัดพระศรีอารย์เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดราชบุรีเป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศิลปะ มีพระพุทธรูปและภาพเขียนฝาผนังที่สวยงามมากมาย วัดพระศรีอารย์เป็นสถานที่พักผ่อนอันเงียบสงบสำหรับผู้ที่ต้องการใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดพระศรีอารย์ปฏิบัติธรรมและเสริมสร้างความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ

วัดแห่งนี้รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและทิวทัศน์ที่เงียบสงบเป็นสถานที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำสมาธิและการไตร่ตรอง ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมหลีกหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน

ความสำคัญของวัดพระศรีอารย์
วัดแห่งนี้มีรากฐานที่ลึกซึ้งในประเพณีและการปฏิบัติทางพุทธศาสนา ทำให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการพัฒนาจิตวิญญาณ วัดได้รับการตั้งชื่อตามพระพุทธเจ้าในอนาคต คือ พระศรีอริยเมตไตรย วัดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ปัญญาและเส้นทางสู่การตรัสรู้ พื้นที่ของวัดได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการมีสติ ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจธรรมะให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

การปฏิบัติธรรมที่วัด
วัดพระศรีอารย์จัดให้มีการทำสมาธิเป็นประจำ โดยมีพระภิกษุผู้มีประสบการณ์เป็นผู้นำ ซึ่งจะนำผู้ปฏิบัติธรรมโดยสอนหลักสติ สมาธิและหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า การฝึกปฏิบัติเน้นที่ความแจ่มใสของจิตใจ ความสงบและการเจริญเมตตา ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้นหรือผู้ปฏิบัติธรรมที่มีประสบการณ์ วัดแห่งนี้ก็พร้อมให้สภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเดินทางทางจิตวิญญาณของคุณ

กิจกรรมประกอบด้วย:
การนั่งสมาธิ:เซสชั่นการทำสมาธิแบบมีคำชี้นำมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาสติ (วิปัสสนา) และสมาธิ (สมถะ) ซึ่งช่วยให้ผู้ปฏิบัติตระหนักถึงความคิดและอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น
การเดินสมาธิ:สำรวจบริเวณวัดอันเงียบสงบในขณะที่ฝึกเดินอย่างมีสติ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ส่งเสริมการเชื่อมโยงกับช่วงเวลาปัจจุบันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ธรรมเทศนา:พระภิกษุสงฆ์มักจะแสดงธรรมะเกี่ยวกับปรัชญาพุทธและวิธีนำหลักธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวัน ธรรมเทศนาเหล่านี้ให้ความรู้และให้ปัญญาในเชิง

ปฏิบัติเพื่อการเติบโตทางจิตวิญญาณ
ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก
วัดพระศรีอริยะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อรองรับทั้งผู้มาเยี่ยมชมแบบไปเช้าเย็นกลับและผู้ที่ต้องการพักค้างคืน มีที่พักพื้นฐานสำหรับผู้มาเยี่ยมชมแบบค้างคืน ซึ่งช่วยให้พวกเขาได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันเงียบสงบอย่างเต็มที่ วัดยังมีอาหารมังสวิรัติตามหลักปฏิบัติของพุทธศาสนาที่ไม่ทำร้ายผู้อื่นและดำเนินชีวิตอย่างมีสติอีกด้วย

วิธีการเยี่ยมชม
วัดพระศรีอารย์อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียงระยะทางสั้นๆ สามารถเดินทางไปได้สะดวกด้วยรถยนต์หรือระบบขนส่งสาธารณะ วัดแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับการพักผ่อนทางจิตวิญญาณในช่วงสุดสัปดาห์หรือทริปหนึ่งวันเพื่อไตร่ตรองและเติบโตในชีวิต ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือช่วงเช้าตรู่ซึ่งบรรยากาศจะสงบและอากาศจะเต็มไปด้วยเสียงสวดมนต์ของพระสงฆ์

วัดพระศรีอารย์ในจังหวัดราชบุรีไม่ได้เป็นเพียงวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่สำหรับการเรียนรู้ การไตร่ตรองและการฟื้นฟูจิตวิญญาณ ไม่ว่าคุณต้องการเริ่มปฏิบัติธรรมหรือต้องการเพิ่มพูนสมาธิที่มีอยู่ วัดแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับความสงบภายในและการมีสติ ออกเดินทางสู่เส้นทางจิตวิญญาณที่วัดพระศรีอริยเมตไตรย และค้นพบพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของการปฏิบัติธรรมในบรรยากาศสงบและเป็นธรรมชาติ

14
คอนโดติดรถไฟฟ้า เฟล็กซี่ สุขสวัสดิ์ (Flexi Suksawat)
เริ่มต้น 1.59 ลบ.

เฟล็กซี่ สุขสวัสดิ์ (Flexi Suksawat)
คอนโดใหม่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ให้คุณใช้ชีวิตลื่นไหลอย่างเต็มที่ไม่มีสะดุด ด้วยทำเลศักยภาพ เชื่อมต่อถนนสายหลัก ทางด่วน และถนนวงแหวนฯ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ แวดล้อมด้วยแหล่งงานและแหล่งไลฟ์สไตล์ ครบครันด้วยสิ่งอำนวนความสะดวกทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส Co-working Space พร้อมการออกแบบฟังก์ชันห้องที่ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัย

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ             เฟล็กซี่ สุขสวัสดิ์ (Flexi Suksawat)
 เจ้าของโครงการ       เสนาดีเวลลอปเม้นท์
 ราคา                    เริ่มต้น 1.59 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.   โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล          คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด        Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี      1 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี        ตั้งแต่ 22.50 ถึง 35.50 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด        3 ไร่ 3 งาน 87 ตร.ว.
 จำนวนตึก            3 อาคาร
 จำนวนชั้น            8 ชั้น
 จำนวนห้อง          493 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สาธารณูปโภค          สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, ประตู Key Card, อื่นๆ (PRIVATE FLOW LOBBY, FLOWTAINMENT THEATER, AIRFLOW TERRACE, FLOW LIVING SERVICES, EV STATION, LADY PARKING, DISABLE PARKING), สวนหย่อม, Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน          คลองสาน, เจริญนคร, รัชดา-ท่าพระ, เพชรเกษม
 ที่ตั้ง         ถ.สุขสวัสดิ์ แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร 10140

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
บิ๊กซี บางปะกอก
แม็คโคร บางปะกอก
ตลาดอินดี้ ดาวคะนอง
โลตัส บางปะกอก
โรงพยาบาลบางประกอก 1
โรงพยาบาลประชาพัฒน์
โรงพยาบาลสุชสวัสดิ์
โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
โรงพยาบาลบางขุนเทียน 1
โรงพยาบาลนครธน

 ปีที่สร้างเสร็จ
โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

15
ทาวน์โฮม สิริ เพลส รังสิต 2 (Siri Place Rangsit 2)
เริ่มต้น 2.39 ลบ.

สิริ เพลส รังสิต 2 (Siri Place Rangsit 2)
ทาวน์โฮม 2 ชั้นดีไซน์ใหม่ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเมืองอัมสเตอร์ดัม มีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบบ้าน โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ใช่ทั้งคุณภาพ ฟังก์ชันครบครัน ปรับเปลี่ยนได้ทุกไลฟ์สไตล์ บนทำเลรังสิตที่ครบทุกศักยภาพ เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกและรวดเร็ว

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ           สิริ เพลส รังสิต 2 (Siri Place Rangsit 2)
 เจ้าของโครงการ      แสนสิริ
 แบรนด์ย่อย           สิริ เพลส
 ราคา                   เริ่มต้น 2.39 ลบ.

 ประเภทบ้าน         ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล        บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ         33 ไร่
 จำนวนบ้าน            370 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด     3 แบบ
  เนื้อที่บ้าน            ตั้งแต่ 16.5 ถึง 30 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย          ตั้งแต่ 99 ถึง 128 ตร.ม.
 จำนวนชั้น             2 ชั้น
 หน้ากว้าง             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน      ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ      ตั้งแแต่ 1 ถึง 2 คัน
 สาธารณูปโภค       สวนสาธารณะ, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, สนามเด็กเล่น, Co-working space

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน        ปทุมธานี, คลองหลวง, ธัญบุรี, ลำลูกกา
 ที่ตั้ง        ถนนรังสิต-ปทุมธานี ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี 12000

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม, สถานี(บางซื่อ - รังสิต)(รังสิต)
ใกล้ทางด่วน (ทางพิเศษอุดรรัถยา ด่านบางพูน, ทางยกระดับอุตราภิมุข)
ขนส่งอื่นๆ ท่าอากาศยานดอนเมือง

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ศูนย์การค้า/ไลฟ์สไตล์
1.โลตัส รังสิต 5.4 กม.
2.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รังสิต 6.9 กม.
3.เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ 7 กม.
4.ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต 7.1 กม.

สถานศึกษา
1.Thai International School 5.1 กม.
2.โรงเรียนเซนต์โยเซฟ เมืองเอก 5.9 กม.
3.มหาวิทยาลัยรังสิต 8 กม.
4.มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 10.7 กม.
5.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 13.3 กม.

โรงพยาบาล
1.โรงพยาบาลปทุมเวช 4.4 กม.
2.โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส 4.8 กม.
3.โรงพยาบาลเปาโล รังสิต 5.7 กม.

 ปีที่สร้างเสร็จ
โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

16
Doctor At Home: ท่อน้ำตาอุดตัน (Nasolacrimal duct obstruction) - ถุงน้ำตาอักเสบ (Dacryocystitis)

ท่อน้ำตาเป็นส่วนหนึ่งของระบบน้ำตา* บางครั้งอาจมีเหตุทำให้ท่อน้ำตาอุดตัน มีน้ำตาเอ่อคลอเบ้าตา

ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นโรคที่พบได้บ่อยในบ้านเรา พบมากในทารก และผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

มักเป็นที่ตาเพียงข้างเดียว แต่ก็อาจเป็นทั้ง 2 ข้างก็ได้

เมื่อท่อน้ำตาอุดตันนาน ๆ ก็จะมีเชื้อโรคเข้าไป เกิดการติดเชื้อในถุงน้ำตา กลายเป็น ถุงน้ำตาอักเสบ

*ระบบน้ำตา (lacrimal system) ประกอบด้วยต่อมน้ำตา (lacrimal gland) ที่อยู่ใต้เปลือกตาบน ทำหน้าที่ผลิตน้ำตาออกมาหล่อลื่นและทำความสะอาดผิวหน้าของตา (ได้แก่ เยื่อบุตาและกระจกตา) น้ำตาที่ออกมาที่ตามีการไหลเวียน เปิดโอกาสให้มีน้ำตาใหม่เข้ามาแทนที่น้ำตาเก่า  โดยน้ำตาเก่าจะไหลลงรูเปิดของทางเดินน้ำตา (lacrimal punctum ซึ่งเป็นรูเล็ก ๆ เปิดอยู่ที่ขอบเปลือกตาบนและล่างตรงมุมหัวตา) ผ่านคลองน้ำตา (lacrimal canal) ลงมาที่ถุงน้ำตา (lacrimal sac ซึ่งอยู่ตรงหัวตาข้างสันจมูก) และท่อน้ำตา (nasolacrimal duct ซึ่งทอดลงมาตามผนังด้านข้างของจมูก) ในที่สุดน้ำตาก็จะระบายลงโพรงจมูกด้านล่าง (Inferior nasal meatus)


สาเหตุ

ท่อน้ำตาอุดตัน ในทารกอาจเกิดจากท่อน้ำตายังเปิดไม่ค่อยสมบูรณ์ หรือเกิดจากมีเยื่อเมือกและเซลล์ที่อยู่ในน้ำคร่ำขณะที่อยู่ในครรภ์มารดาเข้าไปอุดตันอยู่ภายในท่อน้ำตา หรือเกิดจากเยื่อตาขาวอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียขณะคลอด ทำให้มีขี้ตาลงไปอุด

ในผู้ใหญ่ การอุดกั้นของท่อน้ำตาอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น รูเปิดของท่อน้ำตาตีบแคบลงจากความเสื่อมตามอายุขัยที่มากขึ้น, การได้รับบาดเจ็บตรงกระดูกข้างจมูก, เยื่อตาขาวอักเสบเรื้อรัง, ไซนัสอักเสบเรื้อรัง, ติ่งเนื้อเมือกจมูก (nasal polyps), สิ่งแปลกปลอมในท่อน้ำตา, เนื้องอกหรือมะเร็งในบริเวณจมูก, การผ่าตัดตา จมูกหรือไซนัส,  การใช้ยาหยอดตารักษาโรคต้อหิน, การได้รับรังสีบำบัดบริเวณศีรษะหรือใบหน้าเป็นต้น บางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

ถุงน้ำตาอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น สแตฟีโลค็อกคัส, สเตรปโตค็อกคัส, ฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซ) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนจากท่อน้ำตาอุดตันนาน ๆ


อาการ

ท่อน้ำตาอุดตัน มีอาการน้ำตาไหลมาก จนเอ่อคลอเบ้าตาข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา โดยไม่เกี่ยวกับการร้องไห้ หรือมีเรื่องเศร้าโศกเสียใจ ต้องคอยเช็ดน้ำตาบ่อย ๆ

ในทารกจะสังเกตว่ามีน้ำตาไหลมากข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นมาตั้งแต่เกิด และบางครั้งมีขี้ตาออกมาเป็นครั้งคราว

ถุงน้ำตาอักเสบ ในรายที่เป็นชนิดเฉียบพลัน จะมีไข้ มีตุ่มนูนตรงหัวตา เมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา แล้วตุ่มนูนก็ยุบลง แต่ต่อมาก็กลับนูนขึ้นเช่นเดิมอีก ถ้าเป็นรุนแรงตุ่มนูนนั้นจะมีอาการปวดแดงร้อนคล้ายฝี ซึ่งอาจแตก มีน้ำตาและหนองไหลออกมา


ภาวะแทรกซ้อน

ท่อน้ำตาอุดตัน ทำให้มีน้ำตาค้างและหมักหมมอยู่ที่ระบบน้ำตา กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค อาจทำให้เกิดเยื่อตาอักเสบ และถุงน้ำตาอักเสบ

ถุงน้ำตาอักเสบ หากได้รับการรักษา มักไม่มีภาวะแทรกซ้อน หากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก อาจกลายเป็นถุงน้ำตาอักเสบเรื้อรัง (จะมีอาการน้ำตาและหนองไหลออกมาเรื้อรัง โดยไม่มีไข้ และไม่พบตุ่มนูนชัดเจน)

ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้สูงอายู) และในทารกที่เป็นถุงน้ำตาอักเสบเฉียบพลัน (congenital acute dacryocystitis) อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อโรคลุกลามเข้าไปที่ตา ทำให้เยื่อตาขาวอักเสบ แผลกระจกตา เบ้าตาอักเสบ (orbital cellulitis ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้) นอกจากนี้ เชื้ออาจเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิดฝีในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โลหิตเป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะที่ร้ายแรง

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และการตรวจเพิ่มเติมดังนี้

สำหรับท่อน้ำตาอุดตัน การใช้นิ้วกดตรงหัวตาข้างสันจมูก จะพบว่ามีน้ำตาที่เป็นเมือกทะลักออกมาทางรูเปิดของท่อน้ำตา

  บางรายแพทย์จะใช้วิธีการหยอดน้ำสีเหลืองส้ม (ซึ่งเป็นสีเรืองแสง - fluorescein dye ที่ใช้ในการตรวจตา ไม่มีอันตราย) หยอดลงไปในตา ถ้าสีเหลืองระบายหายไปใน 2-3 นาที แสดงว่าท่อน้ำตาไม่มีการอุดตัน แต่ถ้าสีเหลืองยังคงค้างอยู่ที่ตา ก็บ่งชี้ว่าท่อน้ำตาข้างนั้นน่าจะมีการอุดตัน (วิธีนี้เรียกว่า "Dye disappearance test")

ในผู้ใหญ่บางราย แพทย์อาจทดสอบโดยการใช้เข็มเล็ก (ปลายตัดไม่คม) แยงลงไปทางรูเปิดของท่อน้ำตา แล้วใช้น้ำเกลือฉีดลงไป ถ้าผู้ป่วยรู้สึกถึงน้ำเกลือเค็ม ๆ ไหลลงคอ แสดงว่าท่อน้ำตาเป็นปกติ แต่ถ้าผู้ป่วยมีท่อน้ำตาอุดตัน น้ำตาจะไหลเอ่อล้นกลับออกมาทางรูเปิดของท่อน้ำตา

ในกรณีที่จำเป็น แพทย์อาจทำการถ่ายภาพระบบทางเดินน้ำตาด้วยเอกซเรย์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโดยการฉีดสารทึบแสง เพื่อตรวจดูตำแหน่งที่อุดตัน

สำหรับถุงน้ำตาอักเสบเฉียบพลัน จะตรวจพบตุ่มนูน ปวด แดง ร้อนที่หัวตา และอาจตรวจพบว่ามีไข้ร่วมด้วย เมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา บางรายแพทย์อาจนำหนองไปตรวจหาเชื้อ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

สำหรับเด็กเล็กที่เป็นโรคท่อน้ำตาอุดตัน แพทย์มักจะแนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการ (ซึ่งในทารกมักจะหายได้เองเมื่อท่อน้ำตาเจริญเต็มที่เมื่ออายุได้ 2-3 เดือน) หรือแนะนำให้พ่อแม่ทำการนวดบริเวณหัวตา (ตรงตำแหน่งของท่อน้ำตาที่อุดตัน) ซึ่งจะช่วยดันให้แผ่นพังผืดบาง ๆ ที่ขวางลิ้นเปิดปิดในท่อน้ำตาเปิดออก ประมาณร้อยละ 70-90 จะหายเป็นปกติได้เองภายใน 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง

ถ้ามีการติดเชื้ออักเสบ โดยตรวจพบมีขี้ตาเหลือง ๆ เขียว ๆ แพทย์จะให้ยาป้ายตาหรือยาหยอดตาที่มีตัวยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

นอกจากนี้ แพทย์อาจให้การรักษาด้วยการถ่างท่อน้ำตาด้วยการใช้อุปกรณ์แยงท่อน้ำตา หรือใส่ท่อที่มีบัลลูนตอนปลายแยงเข้าท่อน้ำตาแล้วเป่าบัลลูนให้ท่อน้ำตาขยาย หรือการใส่ท่อเล็ก ๆ (ที่ทำด้วยซิลิโคนหรือโพลิยูลีเทน) คาไว้ในท่อน้ำตานาน 3 เดือน เพื่อถ่างให้ท่อน้ำตาขยาย

หากไม่ได้ผล ก็จำเป็นต้องผ่าตัดทำท่อระบายน้ำตาขึ้นใหม่ (dacryocystorhinostomy)

สำหรับผู้ใหญ่ที่มีท่อน้ำตาอุดตัน แพทย์จะรักษาด้วยการล้างท่อน้ำตา หากไม่ได้ผลก็จะทำการถ่างท่อน้ำตาด้วยเทคนิคต่าง ๆ หากไม่ได้ผลก็จำเป็นต้องผ่าตัดทำท่อระบายน้ำตาขึ้นใหม่

และถ้าพบว่ามีสาเหตุชัดเจน ก็ให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น รักษาโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังผ่าตัดเอาเนื้องอกออกไป

สำหรับถุงน้ำตาอักเสบ (ตุ่มฝีขึ้นที่หัวตา) ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ ให้ยาแก้ปวดและยาป้ายตาหรือยาหยอดตาปฏิชีวนะ ถ้าอักเสบรุนแรงให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน) สัก 5-7 วัน ถ้าไม่ยุบหรือกลับเป็นซ้ำอีก แพทย์จะตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ และทำการแก้ไขภาวะท่อน้ำตาอุดตัน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีน้ำตาไหลมากข้างหนึ่ง มีอาการน้ำเอ่อคลอเบ้าตา มีตุ่มนูนตรงหัวตาซึ่งเมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นท่อน้ำตาอุดตัน หรือถุงน้ำตาอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีน้ำตาไหลมากขึ้น มีไข้สูง ถุงน้ำตาอักเสบบวมแดงมากขึ้น หรือเยื่อตาขาวอักเสบ (ตาแดง ตาแฉะ)
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

สำหรับท่อน้ำตาอุดตัน ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก

ส่วนในผู้ใหญ่อาจลดความเสี่ยงของการเกิดท่อน้ำตาอุดตันลงได้ ด้วยการป้องกันโรคเยื่อตาขาวอักเสบ (หมั่นล้างมือให้สะอาด อย่าเผลอขยี้ตา เป็นต้น) และรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ (เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ ไซนัสอักเสบ ติ่งเนื้อเมือกจมูก เป็นต้น)

สำหรับถุงน้ำตาอักเสบ สามารถป้องกันด้วยการรักษาท่อน้ำตาอุดตันให้หายขาด


ข้อแนะนำ

ผู้ที่มีน้ำตาไหลผิดปกติ นอกจากท่อน้ำตาอุดตันแล้วยังอาจเกิดจากขนตาเก* ควรซักถามอาการ และตรวจดูให้แน่ชัด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากอะไร ก็ควรแนะนำผู้ป่วยไปปรึกษาแพทย์ทุกราย
 

*ขนตาเก (trichiasis) ซึ่งหมายถึงอาการขนตาแยงเข้าด้านในนั้น ยังอาจเกิดจากการติดเชื้องูสวัด กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน การถูกสารเคมีหรือความร้อนที่เปลือกตา การบาดเจ็บ หรือการผ่าตัดเปลือกตา ควรแก้ไขด้วยการถอนขนตา หรือใช้ไฟฟ้าหรือความเย็นจี้ หรือฉายรังสี

17
จัดฟันบางนา: ปัญหา “ฟันห่าง” ป้องกันได้หรือไม่ ?

เชื่อว่าหลายๆท่านคงอาจจะกำลังมีปัญหากับช่องว่างระหว่างฟันที่มีความห่างกันมากจนเกินไป หรือคนรอบข้างอาจจะมีปัญหานี้ก็ตามแต่ ล้วนแต่สร้างความไม่มั่นใจให้กับบุคคลผู้นั้น สิ่งแรกเลยคือ ไม่มั่นใจในขณะพูดคุย ไม่กล้ายิ้ม และหากปล่อยไว้อาจจะส่งผลกับการกัดอาหารตามมาด้วย

แต่ถึงอย่างไรก็ตามถือว่าไม่น่าเป็นห่วงแล้วสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาฟันห่าง เนื่องจากว่าในยุคสมัยนี้นวัตกรรมทางทันตกรรมมีวิธีรักษาเพื่อช่วยปิดช่องฟันและลดช่องว่างระหว่างฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ แถมใช้เวลาไม่มากเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว

ในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมารู้ถึงรายละเอียดของการมีช่องว่างระหว่างฟัน วิธีรักษา และที่สำคัญเลยที่หลายท่านสงสัยว่า ฟันห่างมีทางป้องกันหรือไม่ เรามาไขข้อสงสัยกันดังต่อไปนี้


ปัญหาที่เกิดจากฟันห่าง ?

ปัญหาหลักๆเลยที่เกิดจากฟันห่าง หรือมีช่องว่างระหว่างฟันก็คือ เสียบุคลิกภาพ ไม่กล้าที่จะสนทนาพูดคุย หากว่าเป็นตั้งแต่ที่อายุยังน้อยก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาฟันซี่ถัดไปไม่สามารถงอกขึ้นมาได้ ส่งผลให้มีปัญหาเรื่องการบดเคี้ยวอีกด้วย


ฟันห่างเกิดจากอะไร ?

ต้องขอบอกเลยว่าฟันห่างนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายๆสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพฤติกรรมผิดๆ รวมถึงความผิดปกติของช่องปากและฟัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

– ความผิดปกติของเนื้อเยื่อใต้ลิ้นที่ยึดเกาะกับพื้นด้านล่างของช่องปาก ซึ่งเนื้อเยื่อยึดเกาะเหล่านี้มีบทบาทในการพัฒนาโครงสร้างช่องปากของเด็กตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดา ซึ่งหากมีความผิดปกติมากๆก็ส่งผลให้เกิดการดึงรั้งและทำให้เกิดฟันหน้าห่างได้นั่นเอง

– ขนาดฟันเล็กกว่าขากรรไกร หรือมีขากรรไกรที่ใหญ่เกินไปก็จะทำให้การเรียงตัวของฟันห่างจากกันเพื่อเติมเต็มพื้นที่ขากรรไกร ซึ่งโครงสร้างของขากรรไกรและขนาดฟันส่วนใหญ่จะถูกควบคุมโดยพันธุกรรม ซึ่งหากว่าพ่อแม่มีฟันห่างลูกก็อาจจะประสบปัญหาฟันห่างด้วยเช่นกัน

– เนื้อเยื่อขอบเหงือกเจริญเติบโตมากเกินไป ซึ่งหากว่ามีเหงือกในส่วนของฟันหน้ามากเกินไป ก็จะทำให้เกิดการขวางแนวฟันทำให้เกิดการแยกออกจากกันของฟัน

– ภาวะลิ้นดันฟัน มักจะเกิดขึ้นในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่มีการกลืนกินผิดปกติ ลิ้นโดยธรรมชาติจะแตะที่เพดานปากด้านบนในขณะกลืนอาหาร แต่สำหรับผู้ที่ผิดปกติลิ้นจะไปดันที่ฟันหน้าทำให้เกิดแรงดันอย่างมากส่งผลให้เกิดฟันห่าง

– โรคเหงือก หากว่าเกิดการอักเสบของเหงือกและไม่ได้รับการรักษาจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเหงือกและฟัน ทำให้เกิดฟันโยกและเกิดช่องว่างได้

– การถอนฟันจะส่งผลให้ฟันไม่ครบ ฟันที่เหลือเกินการเคลื่อนตัวส่งผลให้เกิดปัญหาฟันห่างตามมานั่นเอง

– การดูดนิ้ว ก็สามารถทำให้เกิดแรงดันจำนวนมากส่งผลให้ฟันหน้าห่างตามมาได้นั่นเอง


ฟันห่างป้องกันได้หรือไม่ ?

ต้องขอบอกว่าปัจจัยหลายๆอย่างที่ทำให้เกิดฟันห่างนี้เกินควบคุมได้ เช่น ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม และความผิดปกติในช่องปากตั้งแต่กำเนิด เป็นต้น แต่จะบอกว่าไม่สามารถป้องกันได้เลยก็อาจจะไม่ใช่ เพราะเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลให้เกิดฟันห่างได้ เช่น พยายามไม่ดูดนิ้ว หรือผู้ปกครองควรมีส่วนในการช่วยดูแลไม่ให้บุตรหลานทำพฤติกรรมดูดนิ้ว หรือสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมการกลืนที่ผิดปกติให้พยายามปรับเปลี่ยนบังคับลิ้นให้แตะที่เพดานปากด้านบนในเวลารับประทานอาหารซึ่งยากแต่สามารถทำได้ อีกอย่างที่สำคัญก็คือพยายามดูแลสุขภาพช่องปากให้แข็งแรงเพื่อไม่ให้เป็นโรคเหงือกหรือโรคเกี่ยวกับฟันต่างๆ ที่ส่งผลให้เกิดฟันห่าง และการขูดหินปูนเป็นประจำก็ถือว่าเป็นหนึ่งในการป้องกันฟันห่างจากแรงดันของคราบหินปูนนั่นเอง

สรุปแล้วก็คือ “ฟันห่าง” ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากความผิดปกติตั้งแต่พันธุกรรมนั้นสามารถที่จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้

อีกอย่างที่อยากจะบอกก็คือ ฟันห่าง สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกท่านแม้ว่าตอนเด็กๆจะฟันเรียงตัวสวยเป็นปกติ พฤติกรรมต่างๆในตอนโตก็สามารถเปลี่ยนทำให้ฟันที่เรียงตัวสวยงามกลายเป็นฟันห่างได้ด้วยเช่นกัน

18
หลังคาโรงงานที่ดี ทำไมต้องมีฉนวนกันความร้อนติดตั้งเสริม

โรงงานอุตสาหกกรรม ไม่ว่าจะเป็นโรงงานประเภทใดก็ล้วนแล้วแต่ต้องการ ฉนวนกันความร้อน เข้าช่วย เพื่อลดและควบคุมอุณหภูมิภายในโรงงานไม่ให้สูงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับห้องเครื่องจักรต่าง ๆ

แต่ทั้งนี้ ผู้ประกอบการหลาย ๆ คนอาจมองข้ามจุดสำคัญหนึ่งไปที่ควรติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ ในโรงงานเช่นกัน นั่นก็คือ “หลังคาโรงงาน” โดยสาเหตุที่ทำให้หลังคาโรงงานควรมีการติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน เสริมนั้น ก็เพราะ

1.หลังคาคือส่วนบนสุดที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ตลอดทั้งวัน

ต้นกำเนิดความร้อนที่ทำให้โรงงานร้อนขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดจากเพียงแค่เครื่องจักรและการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงงานอย่างเดียว แต่ความร้อนหลัก ๆ ที่สะสมเข้ามาในโรงงานเกิดจากดวงอาทิตย์ภายนอก ยิ่งประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ยิ่งทำให้โรงงานร้อนได้มากขึ้น

และเพราะหลังคาโรงงานอยู่ใกล้ตัวอาทิตย์ตลอดทั้งวัน จึงมีการสะสมความร้อนที่บริเวณหลังคามากและส่งต่อผ่านเข้ามายังภายในโรงงาน การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ใต้หลังคา หรือ โถงหลังคา จะเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อลดระดับปริมาณความร้อนไม่ให้เข้ามาสะสมในโรงงานมากขึ้น


2.หลังคาโรงงานส่วนใหญ่เป็นเมทัลชีท

เพราะเมทัลชีทมีความแข็งแรง ทนทาน มีน้ำหนังกเบา ติดตั้งง่าย และราคาประหยัด จึงทำให้ได้รับความนิยมในการใช้มุงหลังคาโรงงาน ซึ่งมีขนาดใหญ่เสมอ แต่ด้วยคุณสมบัติของเมทัลชีทที่เป็นเหล็ก จึงทำให้ดูดซับความร้อนได้ง่าย

อีกทั้งเมื่อถูกฝนกระทบ ก็ทำให้เกิดเสียงดังรบกวนการสื่อสารภายในโรงงานอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เอง การติดตั้งฉนวนกันความร้อนบริเวณหลังคาจึงตอบโจทย์ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยกันความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่หลังคาดูดซับไว้ไม่ให้ทะลุผ่านเข้ามายังโรงงานได้ง่ายแล้ว ยังช่วยดูดซับเสียงดังเวลาฝนตกกระทบหลังคา ทำให้โรงงานมีเสียงรบกวนน้อยลง เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานกันได้อย่างราบรื่นมากขึ้น


3.ช่วยลดความรุนแรงหากเกิดอัคคีภัย

ฉนวนกันความร้อนสำหรับงานหลังคาที่ดี ควรมีคุณสมบัติไม่ลามไฟ หรือ Non-Flammable เพื่อหากเกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างไฟฟ้าลัดวงจร หรืออัคคีภัยขึ้น จะได้ช่วยลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นให้เบาลงได้

โดยเวลาเกิดเหตุอัคคีภัยนั้น หากหลังคาลุกติดไฟ ลามไฟอย่างรวดเร็ว จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง หลังคาร่วงหล่นลงกีดขวางทางหนี ทำให้ผู้คนได้รับอันตรายมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง การติดตั้งฉนวนกันความร้อนคุณภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็นในการสร้างมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยภายในโรงงานทางหนึ่ง
ฉนวนกันความร้อน

ฉนวนกันความร้อน สำหรับงานหลังคา ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี เพราะได้รับการผลิตขึ้นมาสำหรับงานหลังคาโดยเฉพาะ มีคุณสมบัติในการกันความร้อนได้ดี เพราะมีค่าการนำความร้อนต่ำ ช่วยลดปริมาณความร้อนที่จะเข้ามาในโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในขณะเดียวกัน ก็ช่วยลดเสียงดังรบกวนจากภายนอกอย่างเช่นเสียงฝนตกได้ด้วย ทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ผ่านการทดสอบคุณสมบัติไม่ลาดไฟตามมาตรฐาน ASTM E84 และ BS476 จึงไม่เป็นชนวนก่อให้เกิดอัคคีภัย และช่วยลดความรุนแรงของการเกิดเพลิงไหม้ได้

19
บริการด้านอาหาร: ข้าวผัดสับปะรด คุณค่าทางสารอาหารเต็มๆ
 
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณภาพ สามารถช่วยป้องกันโรคได้ หรือที่เราเรียกว่า “อาหารบำบัด” แต่ในขณะเดียวกันหากรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพ จะก่อให้เกิดโรคตามมาได้ จะเห็นได้ว่า คนไทยจำนวนมากป่วยเป็นโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคไต โรคหัวใจ ซึ่งโรคดังกล่าว ล้วนมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิด และรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ดังนั้น หากเรารับประทานอาหารให้ถูกต้องและมีประโยชน์ ก็จะช่วยป้องกันโรคได้และยังรักษาโรคได้อีกด้วย นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้หลายคนหันมาใส่ใจในเรื่องของอาหารการกินมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่รักสุขภาพที่ใส่ใจในเรื่องของอาหารที่จะรับประทานเข้าไปในแต่ละวัน บางคนมีการนับจำนวนแคลอรี่ บางคนใช้วิธีการปรุงอาหารด้วยตนเอง เพื่อให้ได้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ
บางคนเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารคลีนต่างๆ เพื่อแลกกับการมีสุขภาพร่างกายที่ดี ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำเมนูอาหารที่ทำมาจากผลไม้อย่างสับปะรด ซึ่งถือว่าเป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน โดยเมนูดังกล่าวนั่นก็คือ ข้าวผัดสับปะรด เป็นเมนูเพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าทางสารอาหาร แถมยังเป็นเมนูอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายได้ด้วย
 
สำหรับวัตถุดิบในเมนูนี้ก็คือ ไข่เป็ด น้ำมันพืช เนื้อไก่หั่นเป็นชิ้นบาง กุ้งสด กระเทียมสับ ข้าวหอมมะลิหุงสุก หอมใหญ่หั่นเต๋า ถั่วลันเตาและแครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก เนื้อสับปะรดหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ซอสปรุงอาหาร ผงกะหรี่ ลูกเกด เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบสุก ต้นหอมและผักชีซอย และแตงกวา โดยขั้นตอนก็เริ่มจากการทำซอสปรุงอาหาร โดยการใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อ คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย
นำขึ้นตั้งไฟกลาง เคี่ยวจนเดือดแล้วลดไฟลง ใช้ไฟอ่อนเคี่ยวต่ออีกประมาณ 5 นาที ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้จนเย็น ต่อมาก็มาถึงวิธีการทำข้าวผัด โดยใส่น้ำมันพืชลงในกระทะนำขึ้นตั้งไฟ พอร้อนใส่ไข่เป็ดลงไปตีพอแตก ใส่เนื้อไก่ลงไปผัดจนสุก ตามด้วยกุ้ง พอกุ้งเริ่มเปลี่ยนสีให้ใส่กระเทียมลงไปผัดจนเข้ากันอีกครั้ง ใส่ข้าว หอมใหญ่ ผงกระหรี่ ถั่ว แครอท และสับปะรด ใช้ไฟแรงผัดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันและข้าวไม่เป็นก้อน

ปรุงรสด้วยซอสปรุงอาหารที่เราทำเตรียมไว้ ผัดให้เข้ากัน ใส่ลูกเกดและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงไปผัดให้เข้ากันอีกครั้ง โรยด้วยต้นหอมซอย ผักชีซอยและแตงกวา เพียงเท่านี้เราก็จะได้เมนูเพื่อสุขภาพที่รสชาติอร่อย และยังได้ประโยชน์เต็มๆคำจากสับปะรด เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ

จำนวนมาก ซึ่งได้แก่ คาร์โบไฮเดรต วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 กรดโฟลิก ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุแมงกานีส ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และธาตุสังกะสีเป็นต้น ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆในระบบทางเดินอาหาร ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย


ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยลดคอแห้ง แก้กระหายน้ำ ช่วยควบคุมความดันโลหิตสูง ลดเนื้อเยื่อแผลอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ นอกจากนี้ สับปะรด ยังมีเอนไซม์ที่ช่วยจัดการกับโปรตีนที่เรียกว่า บรอมีเลน ซึ่งพบได้ในแกนและเหง้าของสับปะรดนั่นเอง คุณสมบัติพิเศษของสารชนิดนี้ก็คือ ช่วยสลายลิ่มเลือดและสมานแผล ช่วยลดการจับตัวของเกล็ดเลือด และที่สำคัญที่สุดช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักเป็นอย่างดีเลยทีเดียว นอกจากจะช่วยบำรุงร่างกาย และป้องกันการเกิดโรคต่างๆแล้ว ยังเป้นเมนูอาหารที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร และยังช่วยลดน้ำหนักให้กับสาวๆได้อีกด้วย ถือว่าเป็นเมนูที่มีสารพัดประโยชน์เลยทีเดียว
 
อย่างไรก็ตาม หลักการรับประทานอาหารที่ดี ก็คือ การเลือกรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ซึ่งทางเราเน้นย้ำมาตลอดในเรื่องของวิธีการรับประทานอาหารให้ได้ประดยชน์มากที่สุด เพราะนอกจากร่างกายจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว ยังสามารถช่วยบำบัดโรค บำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือเราต้องหมั่นออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง และดื่มน้ำให้มากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้สดชื่น สามารถรับมือกับชีวิตในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่

20
หมอออนไลน์: โรคเชื้อราในช่องหู (Otomycosis)

โรคเชื้อราในช่องหู (หูอักเสบจากเชื้อรา) เป็นโรคหูชั้นนอกอักเสบชนิดหนึ่ง

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อรา ได้แก่ แอสเปอร์จิลลัสไนเจอร์ (Aspergillus niger) และแคนดิดาอัลบิแคนส์ (Candida albicans) มักพบหลังเล่นน้ำ หรือใช้ไม้แคะหูร่วมกับผู้ที่เป็นโรคนี้ (เช่น แคะหูตามร้านตัดผม) และอาจพบในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อในหูเรื้อรังและใช้ยาหยอดหูที่เข้ายาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเชื้อราตามผิวหนังหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น

อาการ

มีอาการคันในรูหูมาก อาจมีอาการปวดหูหรือหูอื้อ หรือมีของเหลวไหลออกจากหู


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบ เยื่อแก้วหูทะลุ

             ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน เอดส์) การติดเชื้ออาจลุกลามเข้ากระดูกอ่อนในบริเวณหูหรือฐานกะโหลกได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการเมื่อใช้เครื่องส่องหู มักเห็นลักษณะขุย ๆ สีขาว สีดำหรือน้ำตาล ติดอยู่บนผิวหนังในรูหู หูชั้นนอกมีการอักเสบบวมแดง
บางกรณี แพทย์จะนำของเหลวในหูไปตรวจหาเชื้อต้นเหตุ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดในช่องหู ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำยาโพวิโดนไอโอดีน เช็ดในช่องหูวันละ 3-4 ครั้ง หรือใช้ยาหยอดหูที่เข้ายารักษาโรคเชื้อรา เช่น โคลไตรมาโซล (clotrimazole) หยอดหูครั้งละ 4-5 หยด วันละ 3-4 ครั้ง ถ้ามีการใช้ยาหยอดหูที่เข้ายาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์ ให้หยุดใช้

             ในรายที่รักษาด้วยวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล หรือมีการอักเสบรุนแรง แพทย์จะให้กินยาฆ่าเชื้อรา เช่น ไอทราโคนาโซล (itraconazole)

ถ้าไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุ รวมทั้งตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เพราะผู้ป่วยอาจเป็นเบาหวานโดยไม่รู้ตัวอยู่ก่อนก็ได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการคันหู ปวดหู มีน้ำเหลืองหรือหนองไหลออกจากหู ควรปรึกษาแพทย์

          เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเชื้อราในช่องหู ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    งดการลงเล่นน้ำ ดำน้ำ หรือว่ายน้ำในสระหรือแม่น้ำลำคลอง
    งดการเดินทางโดยเครื่องบิน
    หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ใด ๆ สวมใส่หู
    เวลาอาบน้ำ ใช้สำลีหรือวัสดุอุดรูหูป้องกันไม่ให้น้ำเข้าหู

       
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษา 2-3 วันแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีไข้สูง หรือปวดหูมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการแคะหู ด้วยนิ้วมือ ไม้แคะหู ไม้พันสำลี หรือสิ่งอื่น ๆ
    หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำหรือว่ายน้ำในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด
    เวลาใช้สเปรย์ผมหรือยาย้อมผม ควรใช้สำลีอุดหู เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้
    หลังอาบน้ำ สระผม หรือว่ายน้ำ ควรใช้ผ้าเช็ดบริเวณรอบ ๆ ใบหูให้แห้ง และตะแคงหูลงทีละข้างลงด้านล่าง แล้วเคาะที่ศีรษะเบา ๆ เพื่อให้น้ำระบายออกจากหู ป้องกันไม่ให้มีน้ำค้างอยู่ในช่องหู (ไม่ให้ใช้ไม้พันสำลีแยงหูเพื่อซับน้ำ อาจทำให้เกิดแผลถลอกได้)
    ผู้ที่มีหูอักเสบหรือหลังได้รับการผ่าตัดหู ก่อนจะลงเล่นน้ำหรือว่ายน้ำในสระ ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษาว่าสมควรหรือไม่


ข้อแนะนำ

โรคนี้มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ส่วนมากสามารถรักษาให้หายได้ภายใน 5-7 วัน แต่ถ้ามีอาการกำเริบใหม่ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง หรือพบว่าหูชั้นนอกมีการอักเสบรุนแรง (ปวดหูมาก หนองไหล มีกลิ่นเหม็น หูตึง อาจมีอาการปากเบี้ยว) แพทย์จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุ เช่น ตรวจเลือดว่าเป็นเบาหวาน หรือโรคเอดส์หรือไม่

21
มอเตอร์โชว์ 2025 Audi RS Q8 quattro performance ยนตรกรรมเอสยูวีพลังแรงรุ่นเรือธงแห่งตระกูล RS สืบทอด DNA จากสนามแข่งสู่ท้องถนน ด้วยราคา 13.59 ล้านบาท

อาวดี้ ประเทศไทย เริ่มต้นปี 2568 อย่างร้อนแรง ด้วยการเปิดตัวยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุด Audi RS Q8 quattro performance ยนตรกรรมเอสยูวีพลังแรงที่ผสานสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์เข้ากับความหรูหราเหนือระดับ นับเป็นรุ่นเรือธงแห่งตระกูล RS ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น The Most Powerful SUV มาพร้อมพละกำลังและความเร็วที่สืบทอด DNA จากสนามแข่งสู่ท้องถนน หนึ่งในความภาคภูมิใจของอาวดี้ที่ได้รับการพิสูจน์สมรรถนะด้วยการเป็นเอสยูวีที่เร็วที่สุดในสนาม Nürburgring สนามแข่งระดับตำนานด้วยเวลาเพียง 7.36.698 นาที สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญและจิตวิญญาณแห่งความสปอร์ตที่แท้จริงของ Audi Sport GmbH

รถสมรรถนะสูงตระกูล RS ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความแรงและความเร็ว แต่ยังยกระดับมาตรฐานในกลุ่ม High-Performance ให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ทั้งด้านสมรรถนะและความหรูหราได้อย่างลงตัว ครบครัน พร้อมราคาที่เร้าใจสำหรับแฟนรถตระกูล High Performance อย่างแท้จริง Audi RS Q8 quattro performance อัพเกรดทุกมิติเพิ่มสมรรถนะที่เร็วและแรงขึ้น ดีไซน์ลุคสปอร์ตจัดเต็ม เช่น RS Ceramic เบรกที่มาพร้อมกับคาลิปเปอร์เบรกสีน้ำเงิน, ไฟหน้า HD Matrix LED, ไฟท้าย OLED, การตกแต่งภายในด้วย Stitching สีน้ำเงิน รวมไปถึงระบบความปลอดภัย ระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ครบครัน และยังสามารถปรับแต่งความ Exclusive เสริมความเป็นเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นสีพิเศษที่มีให้เลือกถึง 12 สี, ชุดแต่งคาร์บอนรอบคัน และชุดลำโพง

ขุมพลังระดับ Performance (The Most Powerful SUV)
Audi RS Q8 quattro performance โดดเด่นด้วย ขุมพลังระดับ Performance ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 TFSI 4.0 ลิตร พร้อมระบบ Mild Hybrid Technology (MHEV) พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรง และเทอร์โบชาร์จ ให้พละกำลัง 640 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร Audi RS Q8 Performance สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.6 วินาที ระบบท่อไอเสียแบบ RS Sport เสียงกระหึ่มดุดัน ทำให้ทุกการขับขี่เต็มไปด้วยความเร้าใจ ขณะที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro (self-locking centre differential) ที่ประมวลผลในการกระจายแรงขับเคลื่อนได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อสร้างแรงยึดเกาะถนนในสถานการณ์ต่างๆ สร้างความมั่นใจทุกเส้นทางในการขับขี่

การออกแบบที่ดึงดูด สะกดทุกสายตา
Audi RS Q8 quattro performance ได้รับการออกแบบให้มีความสปอร์ตดุดันและความหรูหรา ตัวรถมาพร้อมล้ออัลลอยขนาดใหญ่ถึง 23 นิ้ว ดีไซน์และสีพิเศษ Matt grey จัดเต็มกับจานเบรกเซรามิคแบบ RS พร้อมด้วยคาลิปเปอร์เบรกสีน้ำเงินใหม่ เป็นมาตรฐานให้กับรถยนต์รุ่น RS Q8 ชุดแต่ง RS รอบคัน

เบาะทรงสปอร์ตหุ้มด้วยหนังพรีเมียม Valcona มาพร้อมครบกับทุกฟังก์ชันที่เสริมความสะดวกสบายในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น ระบบเบาะอุ่นร้อน ระบบเบาะระบายอากาศ และฟังก์ชันนวดผ่อนคลายที่สามารถเลือกรูปแบบการนวดได้มากถึง 8 โปรแกรม และเป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับการตกแต่งภายในด้วย Stitching สีน้ำเงิน เพิ่มความสปอร์ตและหรูหราในทุกมุมมอง

Audi RS Q8 quattro performance ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อมอบสมรรถนะที่เหนือชั้น พร้อมระบบเบรกที่ล้ำสมัย RS Ceramics Brake ระบบเบรกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูง มีจุดเด่นในด้านความทนทานต่อความร้อนได้อย่างดีเยี่ยม มั่นใจได้ในทุกการเบรก พร้อมด้วยวัสดุที่ทำจากเซรามิคคุณภาพดีเยี่ยม เสริมอายุการใช้งานที่ยาวนาน และน้ำหนักเบา ช่วยลดน้ำหนักรวมของตัวรถ เพิ่มความคล่องตัวและการควบคุมได้ดียิ่งขึ้น มาพร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีน้ำเงินที่โดดเด่น

การออกแบบยังสะท้อนถึงความพิถีพิถันและนวัตกรรมล้ำสมัย ด้วยเทคโนโลยีระบบไฟที่ดีที่สุดจาก AUDI AG ทำให้ระบบไฟหน้า HD Matrix LED ผสานกับไฟ Audi Laser light ที่มอบความสว่างและประสิทธิภาพสูงสุดโดยไม่รบกวนสายตาผู้ใช้ถนนในเวลากลางคืน

ในขณะที่ไฟท้าย Digital OLED ที่เสริมความสปอร์ตและโดดเด่น สามารถแจ้งเตือนรถคันหลัง หรือบุคคลเมื่อเข้ามาในระยะ 2 เมตร พร้อมยังสามารถปรับเปลี่ยนดีไซน์ร่วมกับไฟหน้าได้ถึง 5 รูปแบบ สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถในตระกูล RS ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
Audi RS Q8 quattro performance มาพร้อมระบบ Infotainment หน้าจอสัมผัส MMI Navigation Plus และชุดเครื่องเสียง Bang & Olufsen ระดับพรีเมียม และเพื่อสัมผัสระบบเสียงที่เหนือกว่า สามารถปรับแต่งลำโพงให้พรีเมียมยิ่งขึ้นด้วยแพ็คเกจ Bang & Olufsen Advanced sound system with 3D sound ลำโพงคุณภาพสูง 23 ตำแหน่ง ที่มีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สามารถยกขึ้นมาได้อัตโนมัติ ให้ประสบการณ์เสียงที่มีมิติ ประสิทธิภาพเสียงที่มีรายละเอียดสูง คุณภาพเสียงคมชัดในรูปแบบ 3 มิติ ให้ความรู้สึกดั่งคอนเสิร์ตส่วนตัว ผ่านกำลังขับ 1,920 วัตต์

สำหรับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยใน Audi RS Q8 Performance เรียกว่าจัดเต็มพิกัด ทั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วแปรผันและรักษาระยะห่างด้านหน้า (Adaptive cruise control with Stop&Go function), ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุแบบด้านหน้าและด้านหลัง (Proactive occupant protection, front and rear), ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อจะเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning), ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross-traffic assist), ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist warning)

ยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุด Audi RS Q8 quattro performance ซึ่งนับเป็นยนตรกรรมเอสยูวีพลังแรงที่ผสานสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์เข้ากับความหรูหราเหนือระดับ มีให้เลือกหลากหลายตามความต้องการของลูกค้า นอกเหนือจากสีมาตรฐาน 4 สี ได้แก่ Mythos black Metallic, Daytona grey Pearl effect, Waitomo blue Metallic และ Ascari blue Metallic โดยเปิดให้จองแล้วตั้งแต่วันนี้ ในราคาสุดคุ้มค่าเริ่มต้น 13.59 ล้านบาท

สำหรับลูกค้าที่ต้องการ ความโดดเด่นเฉพาะตัว อาวดี้ยังได้จัดแพ็คเกจ Exclusive ในราคาพิเศษ 600,000 บาท โดยมีให้เลือกถึง 12 สี คือ Sepang blue Metallic, Nogaro blue Pearl effect, Night blue Pearl effect, Misano red Metallic, Siam beige Metallic, Merlin Pearl effect, Avocado green Pearl effect, Goodwood green Pearl effect, Camouflage green Metallic, Suzuka grey Metallic, Arrow grey Metallic, และ Nimbus grey Pearl effect

นอกจากนี้อาวดี้ยังจัดแพ็คเกจชุดแต่ง Carbon ในราคาพิเศษ 650,000 บาท สำหรับลูกค้าที่อยากได้ความสปอร์ตและความดุดันเพิ่มขึ้น ครอบคลุมชุดแต่งภายนอกรอบคันในลุค Matt Carbon ไม่ว่าจะเป็นช่องรับลมด้านหน้าขนาดใหญ่, สปอยเลอร์หน้า, กระจังหน้าแบบ Single-frame, กระจกมองข้างภายนอก และแผงด้านหลัง

ประสบการณ์เสียงที่สมบูรณ์แบบระดับพรีเมียม ลูกค้ายังสามารถเลือกแพ็คเกจลำโพง Bang & Olufsen ระบบเสียง 3 มิติ ที่อาวดี้จัดให้ในราคาพิเศษ 800,000 บาท ประกอบด้วยลำโพงคุณภาพสูง 23 ตำแหน่ง ฝาครอบลำโพงทำจากอลูมิเนียมและแม่เหล็กแรงสูงนีโอไดเมียม ลำโพงกลางรวมถึงเลนส์อะคูสติกซ้ายขวาที่ตั้งบนคอนโซลด้านหน้า สามารถยกขึ้นอัตโนมัติ ทำงานควบคู่กับลำโพงบรอดแบรนด์ที่ติดตั้งเพิ่มบริเวณเสา A และหลังคารถยนต์ด้านหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเสียงที่มีรายละเอียดสูง คุณภาพเสียงคมชัดในรูปแบบ 3 มิติ กำลังขับรวม 1,920 วัตต์ พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนขณะขับขี่และปรับระดับเสียงตามความเร็วอัตโนมัติ

ร่วมสัมผัสสมรรถนะเหนือระดับ Audi RS Q8 quattro performance ยนตรกรรมเอสยูวีพลังแรง ที่ไม่เพียงเป็นคำตอบสำหรับ ผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่รวมความเร็ว แรง และความหรูหราไว้ในคันเดียว แต่ยังให้ประสบการณ์ใหม่ที่ไม่มีใครเทียบได้ และพร้อมให้ปลดปล่อยทุกความเป็นไปได้ในการขับขี่ ติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารการเปิดตัวรถได้

Audi เป็นรถยนต์นำเข้าประกอบนอกทั้งคัน คุณภาพมาตรฐานเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถอาวดี้ทุกรุ่นได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รถไฟฟ้า   e-tron และรถ Plug-in Hybrid TFSI e Audi ใหม่ทุุกรุ่น รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี
ฟรี บริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉิน ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
ฟรี บริการยก/ลากรถไปยังศูนย์บริการอย่างเป็นทางการของ Audi Thailand ภายในระยะทาง 50 กิโลเมตร หรือไปยังสถานที่อื่นที่สมาชิกต้องการภายในระยะทาง 35 กิโลเมตร (ส่วนต่างคิดค่าบริการกิโลเมตรละ 25 บาท สมาชิกเป็นผู้รับผิดชอบค่าบริการส่วนต่าง)
ฟรี บริการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมง ในกรณีที่เกิดรถเสียฉุกเฉิน
ฟรี บริการรับกุญแจสำรอง กรณีล็อครถโดยไม่ตั้งใจ เจ้าหน้าที่จะประสานงานเพื่อนำกุญแจสำรองมาให้ ณ จุดเกิดเหตุภายในระยะทาง 20 กิโลเมตร (กรณีที่เกินกว่า 20 กิโลเมตร คิดค่าบริการกิโลเมตรละ 25 บาท กรณีที่ต้องการใช้ช่างกุญแจที่มีความชำนาญเพื่อหาวิธีการเข้าไปในรถนั้น จะต้องได้รับความยินยอมจากสมาชิกก่อน ค่าใช้จ่ายสำหรับช่างกุญแจจะรวมอยู่ในบริการ)
กรณีเกิดเหตุน้ำมันหมดฉุกเฉินไม่สามารถขับเคลื่อนได้ เจ้าหน้าที่จะจัดส่งน้ำมันไม่เกิน 10 ลิตร/ครั้ง/ปี เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปยังสถานีน้ำมันที่ใกล้ที่สุดได้ (หากเกิดเหตุมากกว่า 1 ครั้ง/ปี ครั้งต่อไปฟรีค่าประสานงาน สมาชิกเป็นผู้รับผิดชอบค่าน้ำมัน)

22
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันสูง (Hypertension)

โรคความดันสูงเรื้อรังอาจทำให้หลอดเลือดและอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายของผู้ป่วยเกิดความเสียหายจนเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนี้

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
โรคหลอดเลือดสมองเกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดแดงในสมองเกิดการอุดตัน ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดเพื่อนำออกซิเจนและสารอาหารไปสู่สมองได้ ส่งผลให้เนื้อเยื่อสมองตายจากการขาดออกซิเจน การควบคุมอวัยวะต่าง ๆ ที่ถูกสั่งการจากสมองส่วนที่เสียหายเกิดความผิดปกติด้วย และเมื่อความดันในหลอดเลือดมากขึ้น อาจทำให้หลอดเลือดในสมองแตกจนนำไปสู่การเสียชีวิต

หัวใจขาดเลือด (Heart attack)
ความดันโลหิตสูงอาจส่งผลให้ผนังหลอดเลือดหัวใจแข็งและหนาตัวขึ้น ต่อมาอาจผนังหลอดเลือดหัวใจอาจฉีกขาดและอุดตันทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้ตามปกติ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้

หัวใจวาย (Heart failure)
เมื่อหัวใจมีการสูบฉีดเลือดเพื่อต้านกับแรงดันในหลอดเลือดจากความดันโลหิตสูงขึ้นเป็นเวลานาน ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักจนมีความหนามากขึ้นและหัวใจโตขึ้น การสูบฉีดเลือดจึงทำได้ยากขึ้น ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้เพียงพอ และทำให้หัวใจวาย

โรคไต
ความดันโลหิตสูงอาจทำให้หลอดเลือดในไตตีบแคบหรือเสียหายได้ ไม่สามารถกรองเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไตได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดโรคไตและไตวายได้

โรคที่จอตาจากความดันสูง
เมื่อความดันโลหิตสูงจะส่งผลให้หลอดเลือดในดวงตาแตกหรือมีเลือดออกได้ ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาทางด้านสายตาหรือตาบอด

หลอดเลือดแดงโป่งพอง (Aneurysm)
ความดันสูงอาจทำให้ผนังหลอดเลือดแดงเกิดความอ่อนแอ มีการโป่ง พอง นูนขึ้น หรือมีเลือดออกมาก แต่หากเกิดการฉีดขาดอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

ภาวะเมทาบอลิกซินโดรม (Metabolic syndrome)
กลุ่มอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับระบบการเผาผลาญของร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมของไขมันมากผิดปกติ ทำให้ร่างกายเกิดภาวะอ้วนลงพุงได้ง่าย รอบเอวเพิ่มอย่างรวดเร็ว ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง แต่มีไขมันดี (HDL) ในเลือดต่ำ ระดับอินซูลินในร่างกายสูง ซึ่งสภาวะเหล่านี้ล้วนนำไปสู่การเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมอง     

ปัญหาด้านความจำและระบบการคิด
ระดับความดันโลหิตสูงมากขึ้นจะส่งผลต่อความสามารถในการคิด ระบบความจำ และความสามารถในการเรียนรู้ หากหลอดเลือดแดงตีบหรืออุดตันอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมในระยะยาวได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral artery disease: PAD) โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile dysfunction) ในเพศชาย และความต้องการทางเพศลดลงในเพศหญิง

23
มือถือ Huawei หัวเหว่ย Huawei HonorMagic6 Pro (12GB/512GB)
N/A

หัวเหว่ย Huawei HonorMagic6 Pro (12GB/512GB)
รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น                   หัวเหว่ย Huawei HonorMagic6 Pro (12GB/512GB)
   ราคากลาง                -
   จำนวนซิม                 2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์                จอสัมผัส
   สี                               Black, Green(Epi Green)
   ความถี่-เครือข่าย
2G
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก                         ยาว 162.5 x กว้าง 75.8 x หนา 8.9 มม., น้ำหนัก 229 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)      512 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด            -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ           ความจุแบตเตอรี่ 5,600 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                     จอสัมผัส (OLED)
   ความละเอียด             6.8 นิ้ว, 1,280 x 2,800 px
   รายละเอียดอื่น

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                         กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (50 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                         -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)                    Snapdragon 8 Gen 3
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)          Adreno 750
   หน่วยความจำ (RAM)                         12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก                       USB(Type-C), Bluetooth(5.3), NFC, Wi-Fi(802.11 a/b/g/n/ac/ax/be,2x2 MIMO)
   ระบบรับส่งข้อความ                              -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต                      3G, WiFi, 4G, 5G

24
จัดฟันบางนา: อาหารมีความสำคัญต่อสุขภาพช่องปากของเด็กอย่างไร

สุขภาพช่องปากที่ดีนั้น หลายคนอาจจะคิดถึงแค่เพียงฟันที่เรียงตัวสวยงามเมื่อยิ้ม แต่รู้หรือไม่ว่าช่องปากนั้นยังรวมไปถึง เหงือก ลิ้น ระบบประสาท กระพุ้งแก้ม กล้ามเนื้อที่คอยบดเคี้ยวอาหารยังรวมไปถึงข้อต่อและขากรรไกร เพื่อให้มีการรับประทานที่มีประสิทธิภาพ อวัยวะทั้งหลายเหล่านี้ล้วนทำงานสอดคล้องกัน ดังนั้นการมีสุขภาพช่องปากที่ดีนั้นไม่ได้หมายถึงการที่ไม่มีโรคเกี่ยวกับฟันเท่านั้นแต่หมายถึงภาวะที่ปราศจากโรคของฟันเหงือกและอวัยวะอื่น ๆที่เกี่ยวข้องกับระบบการบดเคี้ยว ไม่มีการเจ็บ ไม่ปวด รวมไปถึงความผิดปกติอื่น ๆ เช่นกรณีแผลในช่องปากหรือมีหนอง การมีกินปากหรือแม้กระทั่งเนื้องอกต่าง ๆในช่องปาก ซึ่งการมีสุขภาพช่องปากที่ดีจะส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตดีด้วย นั่นก็คือการรับประทานอาหารได้อย่างปกติและมีความสุข ซึ่งจะทำให้เจริญอาหารและมีสุขภาพที่ดี


เราจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี หลักๆคือต้องอาศัยความใส่ใจรักษาความสะอาดของช่องปากให้ได้ นั่นคือการแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ รวมถึงในเรื่องของอาหารกันกินด้วย ควรจะใส่ใจเรื่องอาหาร เช่น ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีลักษณะเหนียวและแข็งบ่อย เนื่องจากว่าช่องปากจะต้องทำงานหนักซึ่งอาจจะมีผลทำให้ขากรรไกรมีการปวดได้ ยังไม่รวมถึงทำให้ฟันสึกกร่อน และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือพฤติกรรมการรับประทานอาหารจุกจิก ทำให้ฟันของเราน่าสัมผัสอาหารบ่อยขึ้นอาจจะส่งผลทำให้ปวดหัวมีโอกาสผุมากขึ้น

ในวัยเด็กนั้นต้องการพลังงานมากเป็นพิเศษ จึงมักจะหิวบ่อยและต้องการกินอาหารว่างและขนมในระหว่างมื้ออาหาร ซึ่งของว่างเหล่านั้นเป็นตัวการสำคัญที่เป็นเหตุทำให้เกิดฟันผุ ของว่างขนมเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายแต่กลับมีผล เสียต่อฟัน ทำให้เกิดโรคฟันผุ นอกจากนี้การที่ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปในช่วงก่อนอาหาร จะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดชั่วคราว เป็นผลทำให้ไม่อยากอาหารและกินอาหารได้น้อยกว่าปกติ ทางเลือกอื่นสำหรับสำหรับเด็ก ซึ่งทราบดีว่าต้องการอาหารประเภทโปรตีนมาก

และอาหารประเภทโปรตีนนี้ไม่มีผล ต่อฟันเสียด้วย คุณเริ่มต้นเสริมสร้างอุปนิสัยในการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แก่เด็กในวัยนี้เช่น ปลาหมึก หมูปิ้ง ลูกชิ้น น่องไก่ย่าง เพื่อทดแทนอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลดังกล่าว นอกจากนี้อาหารประเภทถั่วชนิดต่าง ๆ เช่น ถั่วลิสง ถั่วปากอ้าทอด ข้าวโพดฝักจะไม่ทำให้เกิดฟันผุแล้ว การใช้ฟันทำหน้าที่บทเคี้ยวอาหารตามสมควรในการกินอาหารโปรตีนเหล่านี้ยังเป็นการบริหารเหงือกและฟัน เป็นการกระตุ้นการงอกของฟันถาวร ในรายที่กำลังจะมีการผลัดฟันน้ำนม อาหารเหล่านี้ยังกระตุ้นการเจริญเติบโตของขากรรไกรและใบหน้าให้ได้สัดส่วน ซึ่งอาจจะมีผลในการลดสภาวะฟันเกซ้อนได้ในบางกรณี นอกเหนือไปจากการป้องกันโรคฟันผุด้วย

จะเห็นได้ว่าอาหารเนื่องจากมีผลต่อร่างกายทั้งระบบแล้วยังมีผลต่อสุขภาพในช่องปาก โดยเฉพาะต่อฟันในเด็ก ยังพบว่าอาหารฟันและสุขภาพทั่วไปนั้นมีความเกี่ยวข้องกันเป็นวัฏจักร หรือวงจรที่เป็นประโยชน์ให้คุณต่อร่างกายได้แก่ ฟันดี ไม่ผุ เคี้ยวอาหารได้ดี ร่างกายจะได้รับสารอาหารครบถ้วน ถูกต้อง เหมาะสมร่างกายจึงแข็งแรงเติบโต แต่ถ้าหากเป็นวัฏจักรที่เป็นโทษ กล่าวคือฟันผุ ปวดฟัน ไม่อยากเคี้ยวอาหารทำให้ได้รับอาหารไม่ครบส่วน ร่างกายไม่แข็งแรงและเจริญเติบโตไม่เต็มที่


การมีสุขภาพช่องปากที่ดีนั้นควรพบทันตแพทย์ทุก ๆ 6 เดือนเพื่อให้ตรวจสุขภาพช่องปากของเรายังอยู่ในสภาวะปกติหรือไม่หากเจอปัญหาจะได้ช่วยแก้ ใครปัญหาแต่เนิ่น ๆ แต่หากปล่อยปัญหาไว้เป็นระยะเวลายาวนานบางครั้งปัญหาในช่องปากเราอาจจะไม่รู้ตัว รู้อีกทีก็สายไปเมื่อมาพบทันตแพทย์อีกครั้งนั้นอาจจะรักษายากขึ้นหรือไม่สามารถรักษาให้ฟันซี่นั้นนั้นกลับมาสู่ภาวะปกติดังเดิมได้ ผู้ปกครองสามารถรับคำปรึกษาที่คลินิก เรามีทันตแพทย์ที่เชี่ยวชาญในเรื่องสุขภาพช่องปากของวัยเด็กได้อย่างครบถ้วน

25
ท่อลมร้อน แต่ละประเภทเหมาะกับงานแบบไหน

ท่อลมร้อนมีหลายประเภท แต่ละประเภทเหมาะกับงานที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ผลิต คุณสมบัติ และความทนทานต่ออุณหภูมิ โดยทั่วไปแล้ว ท่อลมร้อนสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้:

1. ท่อลมร้อนโลหะ

วัสดุ: ทำจากโลหะ เช่น เหล็ก สแตนเลส หรืออะลูมิเนียม

คุณสมบัติ:
มีความแข็งแรงทนทานสูง
ทนต่ออุณหภูมิสูงได้ดี
ทนต่อแรงดันได้ดี
มีอายุการใช้งานยาวนาน
มีน้ำหนักมาก
ติดตั้งยากกว่าท่อลมร้อนประเภทอื่น

งานที่เหมาะสม:
งานอุตสาหกรรมหนัก เช่น โรงงานผลิตเหล็ก โรงงานปิโตรเคมี หรือโรงไฟฟ้า
งานที่ต้องการความทนทานต่ออุณหภูมิสูงและแรงดันสูง
งานที่ต้องการความทนทานต่อการกัดกร่อน

2. ท่อลมร้อนผ้าใบ

วัสดุ: ทำจากผ้าใบเคลือบสารทนความร้อน เช่น ซิลิโคน หรือ PVC

คุณสมบัติ:
มีความยืดหยุ่นสูง
น้ำหนักเบา
ติดตั้งง่าย
ราคาถูกกว่าท่อลมร้อนโลหะ
ทนต่ออุณหภูมิได้ปานกลาง
ไม่ทนต่อแรงดันสูง

งานที่เหมาะสม:
งานระบายอากาศทั่วไป
งานดูดควัน หรือไอน้ำมัน
งานที่ต้องการความยืดหยุ่นในการติดตั้ง
งานที่ไม่ต้องการความทนทานต่อแรงดันสูง

3. ท่อลมร้อนอะลูมิเนียมฟอยล์

วัสดุ: ทำจากอะลูมิเนียมฟอยล์

คุณสมบัติ:
น้ำหนักเบา
ติดตั้งง่าย
ราคาถูก
ทนต่ออุณหภูมิได้ปานกลาง
ไม่ทนต่อแรงดันสูง
ไม่ทนต่อการฉีกขาด

งานที่เหมาะสม:
งานระบายอากาศในอาคาร
งานดูดควันในครัว
งานที่ไม่ต้องการความทนทานต่อแรงดันสูงและการฉีกขาด

4. ท่อลมร้อน PVC

วัสดุ: ทำจาก PVC

คุณสมบัติ:
มีความยืดหยุ่นสูง
น้ำหนักเบา
ติดตั้งง่าย
ราคาถูก
ทนต่ออุณหภูมิได้ต่ำ
ไม่ทนต่อแรงดันสูง
ไม่ทนต่อสารเคมีบางชนิด

งานที่เหมาะสม:
งานระบายอากาศทั่วไป
งานดูดฝุ่น หรือขี้เลื่อย
งานที่ไม่ต้องการความทนทานต่ออุณหภูมิสูง แรงดันสูง และสารเคมี

สรุป
การเลือกท่อลมร้อนให้เหมาะสมกับงาน ควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น อุณหภูมิ แรงดัน ลักษณะงาน และงบประมาณ เพื่อให้ได้ท่อลมร้อนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้งาน

26
Doctor At Home: เลือดกำเดา (Epistaxis/Nose bleed)

เลือดกำเดา (เลือดออกจากจมูก) เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่บริเวณเยื่อจมูกมีการแตกทำลาย ทำให้มีเลือดออกจากรูจมูก

ส่วนใหญ่เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่ผนังกั้นจมูกด้านหน้าแตก มักมีเลือดออกจากจมูกข้างเดียว อาการมักไม่รุนแรง และเลือดหยุดได้ง่าย ภาวะนี้พบบ่อยในเด็ก

ส่วนน้อยเกิดจากหลอดเลือดฝอยที่ผนังจมูกด้านข้างซึ่งอยู่ลึกไปทางด้านหลังของจมูก (มีขนาดที่ใหญ่กว่าหลอดเลือดฝอยที่ผนังกั้นจมูกด้านหน้า) แตก อาจมีเลือดออกจากจมูก 2 ข้าง และอาจมีเลือดออกมาก ซึ่งจะไหลลงคอและปาก ภาวะนี้พบบ่อยในผู้ใหญ่

เลือดกำเดาส่วนมากมักเกิดอาการขึ้นฉับพลัน บางรายอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย พบได้ในคนทุกวัย พบบ่อยในเด็กเล็ก (อายุ 2-10 ปี) และผู้สูงอายุ (อายุ 50-80 ปี) 

นอกจากนี้ ยังพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ (เนื่องจากหลอดเลือดขยายตัว ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแตกได้ง่าย) ผู้ที่สูบบุหรี่ (เนื่องจากบุหรี่ทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูก จมูกแห้ง) หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด (เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว และยับยั้งการแข็งตัวของเลือด)

ส่วนมากจะไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายได้เอง


สาเหตุ

โดยมากมักไม่มีสาเหตุร้ายแรง ซึ่งจะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดได้เอง

สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ การแคะจมูกหรือสั่งน้ำมูกแรง ๆ การเจออากาศแห้งหรือหนาวเย็น หรือนอนในห้องปรับอากาศ การอักเสบของเยื่อจมูก (เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ เป็นต้น) การอยู่ในที่สูงซึ่งมีความดันบรรยากาศลดลง (เช่น การนั่งเครื่องบิน การอยู่บนภูเขาสูง)

อาจเกิดจากได้รับบาดเจ็บ (เช่น ถูกแรงกระแทกที่ดั้งจมูก) มีสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก ผนังกั้นจมูกคด ติ่งเนื้อเมือกจมูก การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด

อาจพบร่วมกับโรคติดเชื้อ (เช่น หัด มาลาเรีย ไข้เลือดออก เป็นต้น) ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง โรคตับเรื้อรัง (มีภาวะเลือดออกง่าย) การใช้ยา (เช่น ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก แก้คัดจมูก)

ผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง บางครั้งก็อาจมีเลือดกำเดาไหล และถ้ามีความดันโลหิตสูงแบบวิกฤต (hypertensive crisis คือ ความดันช่วงบนมากกว่าหรือเท่ากับ 180 หรือช่วงล่างมากกว่าหรือเท่ากับ 120 มม.ปรอท) ก็มักจะมีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อย

ส่วนน้อยอาจมีสาเหตุร้ายแรง เช่น โรคเลือดที่มีเลือดออกง่าย ได้แก่ ฮีโมฟิเลีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ ไอทีพี เป็นต้น ซึ่งมักมีเลือดออกตามไรฟัน มีจ้ำเขียวขึ้นตามตัว อาจมีเลือดออกที่อื่น ๆ มีไข้ หรือตับโตม้ามโตร่วมด้วย

ในผู้ใหญ่ที่มีเลือดกำเดาบ่อยร่วมกับอาการคัดจมูก หูอื้อหรือมีก้อนบวมที่ข้างคอ อาจเกิดจากมะเร็ง หรือเนื้องอกในจมูกหรือโพรงหลังจมูก


อาการ

มีเลือดสด ๆ ไหลออกทางรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง

ถ้าออกที่ด้านหลังของจมูกอาจมีเลือดไหลลงคอและปาก ผู้ป่วยอาจมีอาการไอออกมาเป็นเลือดจากเลือดกำเดาที่ไหลลงคอ หรืออาจกลืนเลือดลงไปในกระเพาะอาหารทำให้อาเจียน หรือมีอาการถ่ายอุจจาระดำ (ซึ่งเป็นเลือดเก่า มาจากเลือดกำเดาที่ไหลลงไปในลำไส้) ในวันต่อ ๆ มา


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าออกมากอาจทำให้เกิดภาวะซีดได้ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

อาจตรวจพบเลือดกำเดาไหลหรือจุดเลือดออกที่เยื่อจมูก ภาวะซีด (ในรายที่เสียเลือดมาก)

ในรายที่มีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา อาจตรวจพบความผิดปกติ เช่น ไข้ น้ำมูกไหล จุดแดงจ้ำเขียวตามตัว เลือดออกตามที่อื่น ๆ ผนังกั้นจมูกคด ติ่งเนื้อเมือกจมูก สิ่งแปลกปลอมในรูจมูก ความดันโลหิตสูง ดีซ่าน ตับโต เป็นต้น 

ในรายที่เลือดกำเดาออกรุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือตรวจพบหรือสงสัยว่ามีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจจมูกและโพรงหลังจมูก ตรวจชิ้นเนื้อ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การปฐมพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่นเป็นเวลา 10 นาที บอกให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน

ส่วนมากมักจะได้ผลโดยวิธีดังกล่าว ถ้าไม่ได้ผลให้ทำซ้ำอีกครั้งนาน 10 นาที

ถ้าเลือดยังไม่หยุด แพทย์จะใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดชิ้นเล็ก ๆ ชุบอะดรีนาลิน ขนาด 1:1,000 ให้ชุ่มสอดเข้าในรูจมูกข้างที่มีเลือดออก ยัดให้แน่น ยานี้จะช่วยให้หลอดเลือดฝอยตีบลงและเลือดหยุดได้ ควรยัดผ้าก๊อซไว้นาน 2-3 ชั่วโมง เมื่อแน่ใจว่าเลือดหยุดดีแล้วจึงค่อย ๆ ดึงออก

ในรายที่เลือดออกไม่หยุด อาจต้องรักษาโดยการจี้ด้วยสารเคมี-ซิลเวอร์ไนเทรต (silver nitrate) หรือจี้ด้วยความร้อน (electrocautery)

2. ในรายที่แพทย์ทำการตรวจเพิ่มเติม พบภาวะซีด หรือโรคที่เป็นสาเหตุ ก็จะทำการรักษาภาวะ/โรคที่ตรวจพบ เช่น ให้ยาบำรุงโลหิตในรายที่มีภาวะซีดจากการเสียเลือด, ให้ยารักษาโรค (เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคเลือด), ปรับเปลี่ยนยา (ที่ใช้รักษาโรคอยู่เดิม) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เลือดกำเดาไหล, เอาสิ่งแปลกปลอมออก, ผ่าตัดแก้ไข (เช่น ผนังกั้นจมูกคด เนื้องอกในโพรงจมูก) เป็นต้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายได้ภายในเวลาสั้น ๆ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ถ้าหลังจากนั้นผู้ป่วยไม่ได้หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ ก็อาจกำเริบซ้ำได้อีก

ส่วนน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งมีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา จำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุอย่างต่อเนื่อง
 

วิธีห้ามเลือดกำเดา

การปฐมพยาบาล สำหรับอาการเลือดกำเดาไหล

    จัดให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย
    ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่น บอกให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน นาน 10 นาที
    ถ้าคลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ที่บีบจมูกออกแล้วเลือดยังไม่หยุด ให้ทำการบีบจมูกตามขั้นตอนข้างต้นซ้ำอีกครั้ง นาน 10 นาที ถ้าเลือดยังไม่หยุดควรรีบไปพบแพทย์ หรือให้แพทย์ทำการช่วยเหลือด้วยวิธีอื่นต่อไป

หมายเหตุ

    ระหว่างให้การปฐมพยาบาล อย่าให้ผู้ป่วยนอนราบหรือเงยหน้าขึ้น เพราะผู้ป่วยอาจกลืนเลือดลงไประคายต่อกระเพาะอาหาร เกิดอาการอาเจียนได้ หากมีเลือดไหลลงคอหรือปาก ควรคายออก อย่ากลืนลงไป
    หลังจากให้การช่วยเหลือจนเลือดหยุดแล้ว ควรระวังไม่ให้มีเลือดกำเดาออกอีก โดย
    - รักษาศีรษะให้อยู่ในระดับสูงกว่าหัวใจ อย่าก้มศีรษะให้อยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ และห้ามออกแรงเบ่ง ยกของหนัก เป็นเวลา 4-5 ชั่วโมง
    - ห้ามสั่งน้ำมูก แคะจมูก ขยี้จมูก เป็นเวลา 4-5 วัน
    - ถ้าเป็นไปได้ควรระวังไม่ให้ไอ จาม


การดูแลตนเอง

1. เมื่อมีเลือดกำเดาไหล ควรทำการปฐมพยาบาล

ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ทำการปฐมพยาบาลไม่ได้ผล หรือมีเลือดกำเดาออกนานเกิน 20 นาที
    เลือดออกมาก หรือมีเลือดออกตามที่อื่น ๆ
    หายใจลำบาก
    มีอาการอาเจียนเพราะกลืนเลือดลงกระเพาะอาหารมาก
    ได้รับบาดเจ็บรุนแรง เช่น รถชน ตกจากที่สูง ถูกทุบตีที่ศีรษะ/ใบหน้า/จมูก
    มีภาวะซีดจากการเสียเลือด หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว
    มีประวัติกินยาต้านเกล็ดเลือด/สารกันเลือดเป็นลิ่ม
    มีโรคประจำตัว เช่น โรคเลือด ความดันโลหิตสูง โรคตับเรื้อรัง
    พบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
    เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย

2. กรณีที่ไปพบแพทย์ เมื่อได้รับการรักษาจากแพทย์ ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
    - มีเลือดกำเดาไหลไม่หยุดหรือกำเริบใหม่
    - เจ็บหรือแน่นจมูกมาก หายใจลำบาก ปวดศีรษะมาก อาเจียนบ่อย มีไข้สูง เบื่อ อาหาร หรือน้ำหนักลด
    - กินยาที่แพทย์ให้กลับไปกินที่บ้าน แล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

สำหรับเลือดกำเดาที่พบบ่อยซึ่งมักเกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการแคะจมูก และตัดเล็บให้สั้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก)
    หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ
    ไม่สูบบุหรี่
    จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม
    ถ้าเป็นหวัด น้ำมูกไหล ใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ และไม่ใช้ติดต่อกันนาน ๆ
    หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศแห้งหรือหนาวเย็น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรพ่นรูจมูกด้วยสเปรย์น้ำเกลือ/หยอดจมูกด้วยน้ำเกลือ วันละ 2-3 ครั้งเพื่อให้จมูกชุ่มชื้น
    ถ้ามีอาการเลือดกำเดาเวลานอนในห้องปรับอากาศ ควรตั้งเครื่องเพิ่มความชื้นไว้ในห้อง หรือวางภาชนะใส่น้ำ (เช่น แก้ว ขัน กระป๋อง กะละมัง) ไว้ใกล้หัวนอน เพื่อเพิ่มความชื้น และ/หรือใช้วาสลินป้ายในรูจมูกก่อนนอน
    ถ้าทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บต่อศีรษะ/จมูก ควรใช้อุปกรณ์ป้องกัน
    ในรายที่เกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ก็ควรดูแลรักษาโรคเหล่านี้ให้ถูกต้อง

ข้อแนะนำ

1. เลือดกำเดาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พบในเด็ก มักไม่รุนแรง และหยุดได้ภายใน 20 นาที โดยอาจหยุดได้เองหรือหลังให้การปฐมพยาบาล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีเลือดกำเดาไหลนานหรือรุนแรง หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

2. ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ หากมีเลือดกำเดาไหล อาจมีความรุนแรง มีเลือดไหลมากและนานได้ เนื่องจากอาจมีโรคประจำตัว (เช่น โรคเลือด โรคตับเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง มะเร็งโพรงหลังจมูก) หรือกินยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีผลทำให้เลือดออกง่าย (เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด สารกันเลือดเป็นลิ่ม) ดังนั้น เมื่อมีเลือดกำเดาเกิดขึ้น ควรเฝ้าสังเกตอาการ หากมีเลือดกำเดาออกมากหรือนานเกิน 20 นาที ก็ควรรีบไปพบแพทย์

27
บ้านติดรถไฟฟ้า ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต - คลอง 4 (Supalai Park Ville Rangsit - Klong 4)
เริ่มต้น 5.99 ลบ. 

ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต - คลอง 4 (Supalai Park Ville Rangsit - Klong 4)
บ้านเดี่ยว หลังใหญ่ พื้นที่กว้าง รองรับทุกคนในครอบครัว Modern Style ดีไซน์ทันสมัย ฟังก์ชันการใช้งานเหมาะกับทุกคนในครอบครัว ใช้วัสดุคุณภาพ ประหยัดพลังงาน ระบบ Home Automation รองรับการใช้งานของทุกคนในครอบครัว พื้นที่สวนขนาดใหญ่ 2 จุด เพื่อให้คุณและครอบครัวผ่อนคลายจากกิจกรรมภายนอก

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต - คลอง 4 (Supalai Park Ville Rangsit - Klong 4)
 เจ้าของโครงการ           ศุภาลัย
 แบรนด์ย่อย                ศุภาลัย พาร์ควิลล์
 ราคา                        เริ่มต้น 5.99 ลบ.

 ประเภทบ้าน            บ้านเดี่ยว
 ลักษณะทำเล           บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ           92 ไร่
 จำนวนบ้าน            375 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด     6 แบบ
  เนื้อที่บ้าน            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย          ตั้งแต่ 175 ถึง 318 ตร.ม.
 จำนวนชั้น            2 ชั้น
 หน้ากว้าง             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน       ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ       2 คัน
 สาธารณูปโภค         สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, Keycard System (Easy Pass), Home Automation

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน          ปทุมธานี, คลองหลวง, ธัญบุรี, ลำลูกกา
 ที่ตั้ง          ตำบลบึงยี่โถ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 12130

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม, สถานี(บางซื่อ - รังสิต)(รังสิต)
ใกล้ทางด่วน (ทางด่วนกาญจนาภิเษก, ดอนเมืองโทลเวย์)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Lotus รังสิต คลอง 4 1.6 กม.
โรงเรียน สวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต 3 กม.
Dream World 3 กม.
โรงเรียนโชคชัย รังสิต 3.5 กม.
โรงพยาบาล บางปะกอก รังสิต 7 กม.
Future Park Rangsit 8 กม.
Zpell 8 กม.
โรงพยาบาลเปาโล รังสิต 8 กม.
สนามบินดอนเมือง 18 กม.

28
ตรวจอาการม่านตาอักเสบ (lritis/Anterior uveitis)

ม่านตาอักเสบ (ผนังลูกตาชั้นกลางส่วนหน้าอักเสบ ก็เรียก) เป็นภาวะอักเสบของม่านตา (iris)* พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในวัยทำงาน (กลุ่มอายุ 20-60 ปี) แม้โรคนี้พบได้ไม่บ่อย แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้

*ม่านตา คือเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบรูม่านตาที่ด้านหน้าตรงกลางลูกตา ซึ่งเห็นเป็นสีต่าง ๆ (เช่น น้ำตาล เทา ฟ้า) ม่านตาเป็นส่วนหนึ่งของผนังลูกตาชั้นกลาง (uvea) แต่เป็นส่วนที่อยู่ด้านหน้าของลูกตา เมื่อเกิดการอักเสบ เรียกว่า "ม่านตาอักเสบ (iritis)" หรือ "ผนังลูกตาชั้นกลางส่วนหน้าอักเสบ (anterior uveitis)" ซึ่งพบได้บ่อยที่สุดของโรคผนังลูกตาชั้นกลางอักเสบ (uveitis) ทั้งหมด

โรคผนังลูกตาชั้นกลางอักเสบ (uveitis) ถ้าเกิดที่ส่วนกลางของผนังลูกตา เรียกว่า Intermediate uveitis ถ้าเกิดที่ส่วนหลังของผนังลูกตา เรียกว่า Posterior uveitis ถ้าเกิดที่ผนังลูกตาทุกส่วนตั้งแต่ส่วนหน้าถึงส่วนหลัง เรียกว่า Panuveitis 

ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะโรคม่านตาอักเสบ หรือผนังลูกตาชั้นกลางส่วนหน้าอักเสบ

สาเหตุ

ผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ส่วนที่ทราบอาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น

    การติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น วัณโรค ซิฟิลิส) ไวรัส (เช่น เริม งูสวัด เอดส์) เชื้อรา (เช่น histoplasmosis) หรือโปรโตซัว (เช่น toxoplasmosis)
    การได้รับบาดเจ็บที่บริเวณตา เช่น ถูกกระทบกระแทก บาดแผลถูกแทงทะลุ บาดแผลถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวกหรือสารเคมี
    โรคภูมิต้านตนเอง (โรคออโตอิมมูน) ที่สัมพันธ์กับยีนเอชแอลเอ-บี27 (HLA-B27 หรือ Human leukocyte antigen B27)* เช่น ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โซริอาซิสหรือสะเก็ดเงิน
    ยาบางชนิด เช่น Rifabutin (ยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่ง), Cidofovir (ยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโรคเอดส์), Bisphosphonates (ยารักษาโรคกระดูกพรุน) เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้เป็นส่วนน้อย เมื่อหยุดยาอาการก็จะหายเป็นปกติ 
    การสูบบุหรี่ พบว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคม่านตาอักเสบมากขึ้น

*เป็นยีน (พันธุกรรม) ที่พบในคนบางคน ซึ่งกำหนดให้ร่างกายสร้างแอนติเจน (สารโปรตีนชนิดหนึ่ง) ที่อยู่บนผิวของเม็ดเลือดขาว เรียกว่า "Human leukocyte antigen B27" แอนติเจนชนิดนี้ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาต่อต้านเซลล์ที่ปกติของร่างกาย ก่อเกิดโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune disease) ได้หลากหลายชนิด

อาการ

อาการอาจเกิดกับตาเพียงข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ ส่วนใหญ่มักเป็นม่านตาอักเสบแบบเฉียบพลัน คือมีอาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน บางรายอาจเป็นม่านตาอักเสบแบบเรื้อรัง คือมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือเป็นเรื้อรังนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป

ม่านตาอักเสบแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตาแดง น้ำตาไหล ไวต่อแสง (ไม่สู้แสง หรือกลัวแสง) ตามองเห็นไม่ชัดหรือพร่ามัว บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย

ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตามากเมื่ออยู่ในที่สว่างหรือมีแสงจ้า แต่จะดีขึ้นเมื่ออยู่ในที่ร่มหรือมีแสงสลัว

อาการมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และจะเป็นอยู่นานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ ถึงหลายสัปดาห์ เมื่อหายแล้วอาจกำเริบได้ใหม่

ม่านตาอักเสบแบบเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการตาพร่ามัว ตาแดงเล็กน้อย ปวดตาเล็กน้อย และกลัวแสงเพียงเล็กน้อย มักเป็นนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป

นอกจากนี้ สำหรับม่านตาอักเสบที่มีความสัมพันธ์กับโรคอื่น ๆ ก็จะมีอาการของโรคนั้น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดหลังเรื้อรัง (ถ้าเป็นข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง) ท้องเดินเรื้อรัง (ถ้าเป็นลำไส้อักเสบเรื้อรัง) มีไข้หรือไอเรื้อรัง (ถ้าเป็นวัณโรคปอด) เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ดังนี้

    ต้อกระจก มักพบในผู้ป่วยที่ปล่อยให้ม่านตาอักเสบเรื้อรังนาน ๆ 
    ต้อหิน เนื่องจากมีการอุดกั้นของทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตา ซึ่งอาจเกิดจากมีเม็ดเลือดขาวที่เกิดจากการอักเสบไปอุดกั้น หรือเกิดจากมีพังผืดไปทำให้ทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตายึดติดกัน ทำให้ความดันลูกตาเพิ่มสูงขึ้น และกลายเป็นต้อหินตามมา
    ขอบรูม่านตาไม่เรียบ (irregular pupil) เนื่องจากมีพังผืดไปทำให้เกิดการยึดติดกันของม่านตากับกระจกตาหรือเลนส์ตา (แก้วตา)   
    กระจกตาเสื่อม เนื่องจากมีหินปูนพอกกระจกตา ทำให้สายตาพร่ามัว
    น้ำวุ้นลูกตาอักเสบ (vitritis) มีอาการเห็นเงาหยากไย่หรือจุดดำ (floaters) ลอยไปมามากขึ้น โดยการมองเห็นไม่ได้แย่ลง
    จอตาอักเสบ (retinitis) ทำให้สายตาพร่ามัวหรือสูญเสียการมองเห็น
    จุดภาพชัดที่จอตาบวม (macular edema) ทำให้มองเห็นช่วงตรงกลางของภาพไม่ชัดหรือพร่ามัว

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย รวมทั้งการตรวจตา จะพบว่าบริเวณตาขาวที่อยู่ใกล้ขอบตาดำ มีลักษณะแดงเรื่อ ๆ โดยไม่มีขี้ตา แต่อาจมีน้ำตาไหล รูม่านตาอาจมีขนาดเล็กกว่าข้างปกติ มีรูปลักษณ์ผิดแปลกหรือขอบไม่เรียบ กระจกตาอาจมีลักษณะขุ่นเล็กน้อย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจวัดสายตา ความดันลูกตา การใช้กล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ (slit-lamp ซึ่งสามารถเห็นทั้งภายนอกและภายในดวงตาแบบภาพ 3 มิติ) ส่องตรวจตา

นอกจากนี้ ในรายที่สงสัยว่ามีภาวะหรือโรคที่เป็นสาเหตุร่วมด้วย แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด (ดูภาวะติดเชื้อ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส) เอกซเรย์ (เช่น ตรวจหาวัณโรคปอด ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง) เป็นต้น

ในรายที่เป็นเรื้อรัง มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือสงสัยว่ามีความสัมพันธ์กับโรคภูมิต้านตนเอง อาจทำการตรวจเลือดหายีนเอชแอลเอ-บี27 (HLA-B27)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะตรวจหาภาวะหรือโรคที่เป็นสาเหตุ และให้การรักษาสาเหตุที่พบ เช่น ให้ยาต้านจุลชีพ (ปฏิชีวนะ/ยาต้านไวรัส) ในรายที่เป็นโรคติดเชื้อ ให้สเตียรอยด์/ยากดภูมิคุ้มกัน ในรายที่เป็นโรคภูมิต้านตนเอง

ส่วนภาวะม่านตาอักเสบ แพทย์จะให้การรักษา ดังนี้

    ให้ยาหยอดตาที่ทำให้รูม่านตาขยาย เพื่อให้ม่านตาได้พักบรรเทาอาการปวด และป้องกันไม่ให้ม่านตาที่อักเสบไปยึดติดกับแก้วตาที่อยู่ข้างหลัง
    ให้สเตียรอยด์ชนิดเป็นยาหยอดตา เพื่อลดการอักเสบ หากไม่ได้ผลหรือมีอาการกำเริบบ่อย ก็จะให้สเตียรอยด์ชนิดกิน หรือให้ยากดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressant)   

ผลการรักษา การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้โรคทุเลาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ ส่วนใหญ่อาจต้องใช้เวลารักษาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนจนกว่าอาการจะทุเลาดี

สำหรับม่านตาอักเสบที่เกิดจากการบาดเจ็บ มักจะค่อย ๆ หายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อ อาการจะทุเลาหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ (ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัส)

บางรายอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ นานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เกิดจากโรคภูมิต้านตนเอง (เช่น ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง) แพทย์จะให้ยาหยอดตาสเตียรอยด์ไว้ประจำที่บ้าน และแนะนำว่าเมื่อมีอาการกำเริบใหม่ ให้ใช้หยอดตาทันทีแล้วค่อยไปพบแพทย์


การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นม่านตาอักเสบ (มีอาการปวดตา ตาแดง และตามัว) ควรปรึกษาแพทย์ด่วน

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา ใช้ยา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ
    ประคบตาด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ วันละ 3-4 ครั้ง นานครั้งละ 20 นาที
    สวมแว่นตาดำ หากมีอาการปวดตามากขึ้นเวลาถูกแสงสว่าง
    ถ้าปวดตามาก กินพาราเซตามอลบรรเทาปวด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    มีอาการปวดตารุนแรง ตาแดงหรือตามัวมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้ หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การป้องกัน

เนื่องจากโรคนี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลดี

สำหรับส่วนที่มีสาเหตุ เช่น การบาดเจ็บ โรคติดเชื้อ (เช่น เริม งูสวัด วัณโรคปอด ซิฟิลิส) โรคภูมิต้านตนเอง (เช่น ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคโซริอาซิส) เป็นต้น ก็อาจป้องกันไม่ให้ม่านตาอักเสบกำเริบด้วยการป้องกันและควบคุมภาวะเหล่านี้

ข้อแนะนำ

1. อาการปวดตาและตาแดง อาจมีสาเหตุที่ไม่รุนแรง เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ หรืออาจมีสาเหตุที่รุนแรง เช่น ต้อหิน แผลกระจกตา ม่านตาอักเสบ เราอาจวินิจฉัยแยกกลุ่มโรคที่รุนแรงออกจากกลุ่มที่ไม่รุนแรงได้ โดยการตรวจพบว่า กลุ่มโรคที่รุนแรงจะมีอาการปวดตามาก ตามัว รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน หรือกระจกตาขุ่นหรือเป็นฝ้าขาว หากพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ด่วน (ตรวจอาการ ตามัว/ตาฝ้าฟาง/มองเห็นเงาหรือภาพผิดปกติ/เห็นภาพซ้อน และ ปวดตา/เจ็บตา เพิ่มเติม)

2. ผู้ป่วยควรดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการปวดตาและตามัวอย่างฉับพลัน ควรได้รับการรักษาจากจักษุแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง จะช่วยให้โรคทุเลาดี และป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการสูญเสียการมองเห็น (ตาบอดอย่างถาวร)

นอกจากนี้ ผู้ป่วยไม่ควรใช้ยาพร่ำเพรื่อเกินที่แพทย์แนะนำ หรือหยุดยาเองตามใจชอบ หรือซื้อยามาใช้เอง และไม่ควรนำยาที่แพทย์สั่งให้ใช้ไปให้ผู้อื่นใช้ เนื่องจากยาเหล่านี้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาสเตียรอยด์) อาจมีผลข้างเคียง (เช่น ต้อหิน ต้อกระจก) หรือเกิดผลแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้หากใช้ไม่ถูกต้อง

29
จัดฟันบางนา: วิธีการดูแลสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรงและสวยงาม

สุขภาพช่องปาก เป็นเรื่องต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ เพราะถ้าหากเราไม่ใส่ใจดูแลรักษาฟันแล้ว อาจก่อให้เกิดฟันผุ ปวดฟัน และทำให้มีกลิ่นปากได้ เพราะว่าเรานั้นใช้ฟันบดเคี้ยวอาหารอย่างหนัก แต่หลายคนกลับละเลย การดูแลรักษาฟัน และเหงือกไปซะอย่างนั้น ปัญหาในช่องปากเลยถามหา โดยเฉพาะคราบแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดคราบหินปูน และเร่งให้ฟันผุเร็วขึ้น ทำให้เสี่ยงโรคร้ายได้เกินกว่าจะคาดคิด เรามีเคล็ดลับการดูแลสุขภาพฟันให้แข็งแรงมาบอกต่อ เพื่อที่ฟันแข็งแรงและสวยงามอยู่กับเราไปตลอด…


วิธีดูแลสุขภาพเหงือกและฟัน

1.    แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพราะนอกจากจะทำให้ฟันสะอาดแล้วก็ยังทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นอีกด้วย และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคที่เรียที่มาจากคราบจุลินทรีย์ซึ่งเป็นสาเหตุของการฟันผุและโรคเหงือกอีกมากมาย

2.    ใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม เพราะแปรงที่มีขนแข็งเกินไปอาจจะทำให้เหงือกร่นได้ และควรแปรงฟันไม่ต่ำกว่า 2 นาที

3.    ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์และควรใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม เพราะแปรงที่มีขนแข็งเกินไปอาจจะทำให้เหงือกร่นได้

4.    ควรใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วยทุกครั้งเพื่อลดคราบหินปูนที่เกาะอยู่ตามซอกฟันที่ขนแปรงเข้าไม่ถึง โดยพันไหมขัดฟันไว้ที่นิ้วชี้ ทั้งสองข้าง และใช้นิ้วโป้งช่วยจับไหมขัดฟันไว้ จากใช้ไหมขัดฟันพันรอบฟันทีละซี่ ขัดขึ้น-ลง อย่าขัดข้างหน้า-หลัง และอย่าขัดแรงเพราะจะทำให้เจ็บเหงือกได้

5.    ไม่ควรใช้การเคี้ยวหมากฝรั่งหรือใช้น้ำยาบ้วนปากแทนการแปรงฟัน เพราะไม่ช่วยให้คราบจุลินทรีย์ต่าง ๆ หลุดออกไปได้

6.    คนที่ใส่เหล็กดัดฟันหรือใส่ฟันปลอม อย่าลืมตรวจสอบและทำความสะอาดเป็นประจำ

7.    ตรวจสุขภาพฟันตามกำหนดทุก 6 เดือน


30
mobile expo 2025: เอเซอร์เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานบนคลาวด์ด้วย Chromebook Plus Enterprise สองรุ่นใหม่

เอเซอร์ เปิดตัว Chromebook Plus Enterprise 2 รุ่นใหม่ ด้วยเทคโนโลยีอันทรงพลังและความสามารถของ AI จาก Google ที่จะช่วยให้ธุรกิจ องค์กร และผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ทันสมัยด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อการทำงานบนคลาวด์ให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

Acer Chromebook Plus Enterprise ทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ Acer Chromebook Plus Enterprise 515 และ Acer Chromebook Plus Enterprise Spin 514 ช่วยปลดล็อกและเสริมประสิทธิภาพการทำงานของ Chrome OS ทำให้มั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง การจัดการที่เรียบง่าย การเข้าถึงที่ยืดหยุ่น และการสนับสนุนด้านการดูแลระบบที่ได้รับการปรับปรุง ควบคู่ไปกับมาตรฐานความเร็ว หน่วยความจำ และพื้นที่เก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นสองเท่า. Acer Chromebook Plus Spin 514 (CP514-4HN) สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปและระดับองค์กร

Acer Chromebook Plus Enterprise รุ่นใหม่ ได้นำ Google AI บน ChromeOS มาเพื่อยกระดับประสิทธิภาพและการทำงานร่วมกันของพนักงาน และองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานขนาดใหญ่ ธุรกิจขนาดเล็ก ร้านค้าปลีกไปจนถึงหน่วยงานด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งทุกภาคส่วนต่างต้องการอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้และรองรับการทำงานด้าน AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และ Acer Chromebook Plus Enterprise รุ่นใหม่นี้ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เจมส์ ลิน ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก, เอเซอร์ อิงค์ กล่าว

ขับเคลื่อนด้วยโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ 7 150U, RAM LPDDR5X สูงสุด 16 GB ให้ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม รวมถึงความสามารถการทำงานแบบมัลติทาสก์ที่เพิ่มขึ้น และความสามารถทาง AI เพื่อการทำงานร่วมกันบนระบบคลาวด์. ธุรกิจและองค์กรต่างๆ มั่นใจได้กับระบบ ChromeOS ช่วยให้การใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ มีความอย่างราบรื่นและปลอดภัย นอกจากนี้ Acer Chromebook ยังเพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 10 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จแบบเร็วเพื่อช่วยประหยัดเวลา
รองรับการประชุมทางออนไลน์ในหลายแอปพลิเคชั่น ด้วย Google AI-powered Call Tools

การประชุมออนไลน์ใน Acer Chromebook Plus Enterprise สามารถเลือกใช้แอปที่ต้องการได้ เช่น Zoom, Slack, Google Meet และ Microsoft Teams ที่สามารถมั่นใจได้ว่าภาพของผู้ใช้งานจะดูดีและเสียงชัดเจนด้วยเว็บแคมของเครื่องที่มาพร้อมเทคโนโลยี Temporal Noise Reduction (TNR) จาก Acer ช่วยตัดเสียงรบกวน นอกจากนี้ เครื่องมือสำหรับวิดีโอคอลที่ใช้ AI จาก Google ที่ติดตั้งมากับ ChromeOS ยังช่วยปรับปรุงความคมชัดและความสว่างของแสง ตัดเสียงรบกวนอัตโนมัติ และเบลอพื้นหลังโดยอัตโนมัติ ลำโพงคู่และระบบเสียง DTS® Audio ช่วยเพิ่มคุณภาพของเสียงให้ดีมากขึ้นเพื่อการประชุมที่สมบูรณ์แบบ
หน้าจอขนาดใหญ่ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมดีไซน์ที่แข็งแรงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
   
Acer Chromebook Plus Enterprise 515 (CBE595-2/T) มีหน้าจอแสดงผล Full HD 15.6” (1920x1080) เทคโนโลยี IPS ช่วยให้มองเห็นรายละเอียดในสเปรดชีท, กราฟิก และรูปภาพ ได้อย่างคมชัด หน้าจอขนาดใหญ่ยังมีพื้นที่เพียงพอสำหรับแป้นพิมพ์ตัวเลขเฉพาะบนคีย์บอร์ด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้อนข้อมูล เหมาะสำหรับผู้ใช้งานในสายงานการเงิน, ธุรกิจค้าปลีก, บริการ รวมถึงงานในสาย STEM (วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์)
   
Acer Chromebook Plus Enterprise Spin 514 (CPE594-1N) มาพร้อมหน้าจอ 14” WUXGA (1920x1200) ด้วยดีไซน์แบบ 2-in-1 และบานพับ 360 องศา ช่วยให้ Acer Chromebook Plus Enterprise Spin 514 สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ถึงสี่แบบ ได้แก่ การใช้งานแบบโน้ตบุ๊ก, แบบแท็บเล็ต, การใช้งานแบบสัมผัสหรือแบบการจดบันทึกรองรับการใช้งานร่วมกับปากกา USI active stylus โดยตรงบนหน้าจอทัชสกรีน Antimicrobial Corning® Gorilla® Glass พกพาคล่องตัวด้วยน้ำหนักเพียง 1.5 กก.

Acer Chromebook Plus Enterprise ทั้ง 2 รุ่น มีบอดี้ที่แข็งแรงทนทานได้รับมาตรฐาน MIL-STD 810H และทนต่อแรงกระแทกได้ดี นอกจากนี้ยังเสริมรูปลักษณ์ให้เหมาะในสถานการณ์ที่ต้องพบปะลูกค้า การใช้งานในร้านค้าปลีก การประชุม รวมถึงพกพาได้สะดวก ทั้ง 2 รุ่นยังมาพร้อมแป้นพิมพ์ Backlit ช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพแม้ในสภาพแสงน้อย ทำงานบนคลาวด์ได้อย่างต่อเนื่อง เชื่อมต่อสัญญาณได้รวดเร็วและเสถียรด้วย Wi-Fi 6E พร้อมพอร์ตเชื่อมต่อและอุปกรณ์ชาร์ตต่างๆ เช่น HDMI และพอร์ต USB Type-C

Acer Chromebook Plus Enterprise รุ่นใหม่จากเอเซอร์ รองรับภารกิจ Earthion โดยมีการลงทะเบียน EPEAT หลายรายการ รวมถึงคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ทัชแพด OceanGlass™ ที่ทำมาจากขยะพลาสติกที่อยู่ในทะเล ประกอบด้วยวัสดุรีไซเคิล บรรจุภัณฑ์ที่คำนึงถึงความยั่งยืน และการออกแบบเพื่อช่วยเรื่องการประหยัดพลังงานที่ตรงตามการรับรอง Energy Star.


Acer Chromebook Plus Enterprise โน้ตบุ๊กสำหรับธุรกิจ

Acer Chromebook Plus Enterprise มาพร้อมกับคุณสมบัติที่ปลดล็อคทุกการใช้งานสำหรับ Chrome OS ช่วยให้ฝ่าย IT เตรียมอุปกรณ์ให้กับพนักงานได้อย่างรวดเร็วด้วยการลงทะเบียนแบบ Zero-Touch และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการจัดการอุปกรณ์ที่ง่ายต่อการดูแล ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้ง่ายขึ้น. ChromeOS ยังช่วยปกป้องอุปกรณ์ให้ปลอดภัยมากขึ้น และช่วยป้องกันการโจมตีและโจรกรรมทางไซเบอร์ ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เช่น การจัดการระบบคลาวด์ ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูล. การอัพเดทระบบ รายงานข้อมูลเชิงลึก และการแก้ปัญหาด้านเทคนิคทำได้ง่ายขึ้นด้วยการบริการจาก Google Support  ตลอด 24 ชั่วโมง (ทุกวัน) และการช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับ  ChromeOS

Chrome Education Upgrade เพื่อการจัดการ การใช้งานในสถานศึกษา
Acer Chromebook Plus รุ่นใหม่รองรับการใช้งานร่วมกับ Chrome Education Upgrade สำหรับการจัดการอุปกรณ์ในสถานศึกษาได้อย่างราบรื่น. Chrome Education Upgrade ช่วยให้ผู้ดูแลระบบจัดการอุปกรณ์จำนวนมากได้ดี ช่วยจัดการคุณสมบัติทั้งหมดของ Chromebook ผู้ดูแลระบบยังสามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติที่ดีของ Chromebook Education Upgrade เช่น การตั้งค่าอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งานสำหรับกลุ่มผู้ใช้งานด้วย zero-touch enrollment และ Google Support ที่ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง 

ราคาและการวางจำหน่าย
Acer Chromebook Plus Enterprise 515 (CBE595-2/T) วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือในเดือนมิถุนายน ราคาเริ่มต้นที่ 649.99 USD สำหรับทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) วางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม ราคาเริ่มต้นที่ 579 EUR.
Acer Chromebook Plus Enterprise Spin 514 (CPE594-1N) วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือในเดือนสิงหาคม ราคาเริ่มต้นที่ 749.99 USD สำหรับทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) วางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม ราคาเริ่มต้นที่ 679 EUR.
Acer Chromebook Plus Spin 514 (CP514-4HN) วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือในเดือนสิงหาคม ราคาเริ่มต้นที่ 549.99 USD สำหรับทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) วางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม ราคาเริ่มต้นที่ 679 EUR.
รายละเอียดสเปก ราคา และการวางจำหน่ายอาจแตกต่างกันตามภูมิภาค. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางจำหน่าย ข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ และราคาได้ที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้คุณ

เข้าชม Acer’s Media Center สำหรับภาพผลิตภัณฑ์ สเปคและข้อมูลต่างๆ หรือ Acer Press Room เพื่อติดตามข่าวสารทั้งหมดจากเอเซอร์

หน้า: [1] 2 3 ... 6